ถึงวันนี้ ทุกอย่างเกี่ยวกับ “เรือดำน้ำจีน” ก็ยังคลุมเครือ ไม่มีความคืบหน้าที่จะแจ้งกับสาธารณชนได้โดยที่ไม่ทราบสาเหตุที่แท้จริง
เดิมที นายกฯเศรษฐา ทวีสินบอกว่าไปเมืองจีนเมื่อเดือนที่ผ่านมาจะได้พูดจากับประธานาธิบดีสี จิ้นผิงกับนายกฯหลี่ เฉียง แต่กลับมาถึงไทยก็ยังไม่มีอะไรที่ชัดเจนมากไปกว่าเดิม
คำอธิบายล่าสุดจากรัฐมนตรีกลาโหมสุทิน คลังแสงบอกว่าสัญญานี้เป็นแบบจีทูจีหรือรัฐต่อรัฐ
จึงเป็นเหตุที่ไทยไม่สามารถยกเลิกสัญญาการจัดซื้อกับจีนได้ เพราะไม่ใช่เป็นการทำสัญญา แต่เป็นข้อตกลงการซื้อขายระหว่างรัฐบาลกับรัฐบาล หรือจีทูจี
โดยชี้แจงว่าหากทั้งสองฝ่ายไม่สามารถปฏิบัติข้อตกลงได้ ไม่ว่าฝ่ายใดผิด ก็สามารถขอเจรจาลดหย่อนผ่อนปรนได้ และข้อตกลงนี้เป็นการตกลงที่รัฐบาลเก่าทำเอาไว้
คุณสุทินอาจจะได้รับการบอกเล่าจากกองทัพในประเด็นนี้ จึงอธิบายว่า
"เรื่องของจีทูจี มีมิติของความร่วมมือหลายด้านที่ต้องคิดควบคู่ด้วย ถ้าคิดแบบขอคืนหรือยกเลิกสัญญา มันกระทบกระเทือนกับความร่วมมือด้านอื่นและความสัมพันธ์ด้วย"
เป็นที่มาของวลีทองที่ว่า
“เขาไม่ได้ผิดสัญญา เพียงแต่ไม่ได้ทำตามข้อตกลงเท่านั้น”
เป็นประโยคที่สร้างความสับสนเพิ่มเติมต่อประเด็นนี้เพิ่มขึ้นอีก
ครั้งเมื่อบอกว่าทางไทยเสนอว่าเมื่อขอเงินที่วางเอาไว้แล้วคืนไม่ได้ (อาจจะเพราะกลัวเสียไมตรีทางยุทธศาสตร์) ก็จะขอเปลี่ยนเป็นซื้อเรือฟรีเกตแทน
โดยจะเพิ่มเงินอีกประมาณ 1,000 ล้านบาท
แต่พอนักข่าวซักถามเข้าจริง ๆ คุณสุทินก็บอกว่านั่นเป็นเพียงข้อเสนอของฝ่ายไทย ฝ่ายจีนยังไม่ได้บอกว่ามีความเห็นอย่างไรในเรื่องนี้
เรื่องก็เลยคาราคาซังอยู่อย่างนี้
ขณะที่ยังไม่รู้ว่าเรื่องนี้จะเดินต่ออย่างไร สื่อทางการจีนบางแห่งก็เริ่มจะวิเคราะห์ออกแนวที่ว่ามีนักการเมืองสาย “โปรตะวันตก” ที่เป็นฝ่ายค้านในสภาพยายามที่จะสกัดไม่ให้กองทัพไทยซื้อเรือดำน้ำจีน
เป็นการเปิดประเด็นความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ระหว่างจีนกับสหรัฐฯขึ้นมาอีกด้านหนึ่ง
และหากรัฐบาลไทยไม่เร่งสร้างความชัดเจนในการต่อรองเจรจากับจีน ก็จะยิ่งทำให้มีการพยายามจะเบี่ยงเบนประเด็นนี้ไปเป็นเรื่องความขัดแย้งทางการเมืองและความมั่นคงระหว่างมหาอำนาจ
ที่จะผลักให้ไทยเข้าไปอยู่ตรงกลางของข้อพิพาทระหว่างสองยักษ์โดยไม่จำเป็น
คุณสุทินชี้แจงกับนักข่าวว่าข้อเสนอเปลี่ยนเรือดำน้ำเป็นเรือฟริเกตนั้น กองทัพเรือได้เสนอมาที่กระทรวงกลาโหมว่า หากเรือดำน้ำไม่ได้เครื่องยนต์จากเยอรมนี กองทัพเรือได้มีการทบทวนเสนอแนวทางเป็นสองแนวทาง ได้แก่ หนึ่ง ขอเปลี่ยนเป็นเรือฟริเกต หรือสอง เปลี่ยนเป็นเรือตรวจการณ์ชายฝั่ง
กระทรวงกลาโหมพิจารณาแล้วเห็นว่าน่าจะเป็นเรือฟริเกต เพราะเมื่อเปรียบเทียบแล้วสามารถทดแทนเรือดำน้ำได้ โดยไม่ทำให้ศักยภาพของกองทัพลดด้อยลงไปเมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้านที่มีเรือดำน้ำ
"ฟริเกตจะทดแทนได้ เพราะต่อสู้ได้ 3 มิติ สู้ทางอากาศได้ ผิวน้ำ ผิวดินได้ แล้วก็สู้ใต้น้ำได้ พูดง่าย ๆ ว่าเอาฟริเกตมาปราบเรือดำน้ำ" คุณสุทินบอก
คุณวิโรจน์ ลักขณาอดิศร ในฐานะประธานกรรมาธิการทหารในสภาผู้แทนราษฎรได้พยายามเชิญตัวแทนจากกองทัพเรือมาชี้แจง
แต่ก็ได้รับจดหมายบอกกล่าวว่ากองทัพเรือยังอยู่ในกระบวนการรวบรวมข้อมูล ไม่พร้อมจะมาชี้แจงขณะนี้
คุณวิโรจน์ก็ได้แต่บอกว่าได้ฝากไปยังรัฐมนตรีสุทินว่าการต่อรองกับจีนต้องเน้นว่า “ไทยเราเป็นผู้เสียหาย เขาเป็นผู้ทำผิดสัญญา” จึงต้องพิจารณาในแง่ที่ว่าจะมีการชดเชยกันอย่างไร
บางคนบอกว่าไทยเราอาจจะไม่มีอำนาจต่อรองกับจีนถึงขั้นจะเรียกร้องการชดเชยก็ได้
ยิ่งคุณสุทินบอกว่านี่เป็นสัญญารัฐต่อรัฐ ไม่ใช่การซื้อขายธรรมดา ดังนั้นจะต้องในมิติความเป็นมิตรและความสัมพันธ์ด้านอื่น ๆ ด้วย
นั่นแปลว่ารัฐบาลไทยจะไม่มีทีท่าขึงขังถึงขั้นขอให้จีนยอมรับว่าเป็นฝ่ายทำผิดสัญญา เพียงแค่จะเจรจาหาทางออกทำนองบัวไม่ให้ช้ำ น้ำไม่ให้ขุ่น
เพื่อไม่ให้เรือดำน้ำทำน้ำทะเลในย่านนี้ขุ่นว่างั้นเถอะ
ดร.สุรชาติ บำรุงสุข นักวิชาการด้านความมั่นคง จากคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ชี้ว่าการยกเลิกสัญญาเป็นไปไม่ได้ เพราะอำนาจต่อรองของไทยมีน้อยกว่าจีน
อาจารย์บอกกับรายการ “เจาะลึกทั่วไทย...” เมื่อสัปดาห์ก่อนหน้านั้นว่า
"ทางแลกเรือเป็นทางออกที่ดีที่สุด เพราะปัญหาถึงทางตัน เพียงแต่จะแลกกับเรืออะไร โอกาสที่จะได้คืนเงินคำตอบคือเป็นไปไม่ได้ เพราะอำนาจการต่อรองเราไม่ได้มากขนาดนั้น"
ส่วนเรือฟริเกตจีนจะเหมาะสม สอดคล้องกับศักยภาพของกองทัพเรือไทยหรือไม่นั้น ยังเป็นอีกประเด็นหนึ่งที่ยังไม่มีการชี้แจงจากทางการอีกเช่นกัน
นักวิเคราะห์บางคนที่ติดตามเรื่องอย่างนี้มาตลอดมีความเห็นว่าหากจะเอาเรือฟริเกตจากจีนก็อาจจะสวนทางกับแผนเดิมที่ กองทัพเรือที่เคยพูดไว้ก่อนหน้านี้ว่าจะต่อเรือฟริเกตเป็นครั้งแรกในประเทศไทย โดยอุตสาหกรรมต่อเรือของไทย
จึงเกิดคำถามว่าถ้าซื้อเรือฟริเกตจากจีน จะทำให้อุตสาหกรรมต่อเรือของสูญเสียโอกาสที่สำคัญหรือไม่
รัฐบาลพยายามจะทำให้เรื่องนี้เป็นเรื่อง “ละเอียดอ่อน” ทางการเมืองที่ไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดให้กับสาธารณชนอย่างชัดเจนได้
แต่ยิ่งมีความคลุมเครือมากเท่าใด ก็ยิ่งจะสร้างความสงสัยคลางแคลงให้กับสาธารณชน
และยิ่งวันการต่อรองกับฝ่ายจีนก็จะยิ่งยากขึ้นเพราะเขาจะมองว่าเราไม่มีความชัดเจนในแนวทาง
จีนพูดเสมอว่าเป็นประเทศใหญ่ก็มีความรับผิดชอบที่ใหญ่ ดังนั้นการคบหากับประเทศเล็ก ๆ นั้นเขาจะไม่แสดงตนเป็นผู้รังแกคนอื่น
แต่จะตัดสินปัญหาในลักษณะที่ “วิน-วิน” อันจะเป็นประโยชน์ให้กับทั้งฝ่ายเสมอ
ดังนั้น ก่อนที่จะทำให้เรื่องเรือดำน้ำกลายเป็นเรื่องที่ไทยถูกจับเป็นตัวประกันของความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ เราก็ควรจะหาทางเจรจาหาข้อสรุปโดยเร็วที่สุด
บนพื้นฐาน “วิน-วิน” ที่ต้องได้ประโยชน์ของทั้งสองฝ่าย
ยิ่งปล่อยนาน ปัญหายิ่งจะบานไปในทิศทางที่เราควบคุมไม่ได้!
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
ถามแสกหน้า 'ทักษิณ' จะพลิกเศรษฐกิจไทยยังไง ทุกซอกมุมในสังคมยังเต็มไปด้วยทุจริตโกงกิน
นายสุทธิชัย หยุ่น นักวิเคราะห์ข่าวและผู้ดำเนินรายการข่าวชื่อดัง โพสต์เฟซบุ๊ก ถึงกรณีนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ว่า “เขาจะพลิกประเทศไทยให้เศรษฐกิจล้ำโลกได้หรือ
เขตเศรษฐกิจพิเศษชายแดนที่กลายเป็น ที่ซ่องสุมของอาชญากรรมข้ามชาติ
เมื่อวานเขียนถึงรายงานในสำนักข่าวชายขอบที่สำนักจะได้รับความสนใจของรัฐบาลไทยว่าด้วยกิจกรรมอาชญากรรมข้ามชาติในบริเวณ “เขตเศรษฐกิจพิเศษ” ที่สามเหลี่ยมทองคำ
แหล่งค้ามนุษย์ใน 3 เหลี่ยมทองคำ
เขตเศรษฐกิจพิเศษหรือ SEZ บริเวณสามเหลี่ยมทองคำที่โยงกับไทยนั้นกลายเป็นประเด็นเรื่องอาชญกรรมข้ามชาติที่สมควรจะได้รับความสนใจของรัฐบาลไทยอย่างจริงจัง
ไบเดนหรือทรัมป์? เอเชียน่าจะเลือกใครมากกว่า?
ผมค่อนข้างมั่นใจว่าการดีเบตระหว่างโจ ไบเดน กับโดนัลด์ ทรัมป์ วันนี้ (เวลาอเมริกา) จะไม่ให้ความสำคัญต่อเอเชียหรืออาเซียน
พรุ่งนี้ ลุ้นดีเบตรอบแรก โจ ไบเดนกับโดนัลด์ ทรัมป์
ผมลุ้นการโต้วาทีระหว่างโจ ไบเดน กับโดนัลด์ ทรัมป์ ที่จะมีขึ้นในวันพรุ่งนี้ (27 มิถุนายน) เพราะอยากรู้ว่า “ผู้เฒ่า” สองคนนี้จะมีความแหลมคมว่องไวในการแลกหมัดกันมากน้อยเพียงใด
เธอคือ ‘สหายร่วมรบ’ ผู้ร่วมก่อตั้งพรรค NLD คนสุดท้าย!
อองซาน ซูจีมีอายุ 79 ปีเมื่อวันที่ 19 มิถุนายนที่ผ่านมา...และยังถูกจำขังในฐานะจำเลยของกองทัพพม่าที่ก่อรัฐประหารเมื่อกว่า 3 ปีที่แล้ว