เมื่อวานเขียนถึงยุทธศาสตร์ของเวียดนามในความพยายาม “ถ่วงดุลอำนาจ” ระหว่างจีนกับสหรัฐฯ เพื่อให้เกิดประโยชน์กับตนมากที่สุด
นั่นเป็นแนวทางที่ไม่ใช่ว่าจะทำได้ง่ายๆ
แต่ก็เป็นทิศทางที่จะทำให้เวียดนามสามารถทำให้ทั้งสองยักษ์ใหญ่เคารพความเป็น “อิสระ” ในการดำเนินนโยบายของตน
แต่ขณะเดียวกัน ก็ไม่ทำให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งกล่าวหาว่า “ถือหาง” ข้างใดข้างหนึ่ง
เป็นการทดสอบผู้นำเวียดนามว่าจะสามารถดำเนินนโยบาย “ไต่ลวด” อย่างนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากน้อยเพียงใด
เพราะนโยบายเช่นนี้ย่อมมีความเสี่ยงในตัวของมันเอง แต่ถ้ากระโดดเข้าข้างใดข้างหนึ่งก็มีความเสี่ยงมากกว่า หรือหากคิดจะใช้แนวทาง “ลู่ตามลม” ก็ไม่ได้แปลว่าจะประสบความสำเร็จ
เพราะความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ในโลกวันนี้ไม่ใช่เป็นแค่ “ลม” ที่พัดผ่านไปมาเท่านั้น
หากแต่บ่อยครั้งมันคือ “พายุหมุน” ที่หนักหน่วงและรุนแรง
หากไม่มีจุดยืนและภูมิต้านทานเพียงพอ ก็อาจจะถูกพายุร้ายนั้นพัดพาประเทศไปสู่ “ภัยพิบัติ” ที่สุดจะเยียวยาได้
ดังนั้น เราจึงควรจะติดตามแนวทางของผู้นำเวียดนามในกรณีนี้อย่างใกล้ชิด
เพราะเป็นทั้งกรณีศึกษาสำหรับไทย และเป็นการประเมินท่าทีของเราต่อมหาอำนาจและต่อเพื่อนร่วมอาเซียนอย่างเวียดนามพร้อมๆ กันไปด้วย
ถามว่า เมื่อเวียดนามคบหาสหรัฐฯ ใกล้ชิดมากยิ่งขึ้น รวมไปถึงด้านความมั่นคงและซื้อหาอาวุธยุทโธปกรณ์จากสหรัฐฯ (รวมถึงเครื่องบินรบ F-16) จะทำให้ปักกิ่งมองฮานอยด้วยความระแวงสงสัยหนักขึ้น ถึงขั้นเป็นปฏิปักษ์ต่อเวียดนามหรือไม่
คำตอบก็คือ อยู่ที่ว่าข้อตกลงระหว่างสหรัฐฯ กับเวียดนามนั้นกินความกว้างขวางและลึกซึ้งแค่ไหน
ถึงขนาดที่จีนเชื่อว่าเป็นภัยคุกคามต่อตัวเองหรือไม่
หากเป็นเพียงการที่เวียดนามคบสหรัฐฯ ในเชิงตั้งรับเพื่อปกป้องตนเอง มิใช่ถึงระดับที่จีนจะมองว่าเป็นการพุ่งเป้าคุกคามจีน ก็อาจจะพอรับได้
แต่หากผู้นำจีนเริ่มเห็นว่า การกระชับความสัมพันธ์ของเวียดนามกับสหรัฐฯ เข้าสู่ระดับที่น่ากังวลสำหรับตน เราก็อาจจะเห็นปฏิกิริยาจากปักกิ่งที่แข็งกร้าวมากกว่าที่เป็นอยู่วันนี้ก็ได้
แต่ในอีกด้านหนึ่งก็ต้องยอมรับว่า ข้อพิพาทในทะเลจีนใต้ยังคงเป็นประเด็นเร่งด่วนที่สุดปัญหาหนึ่งของภูมิภาคนี้
จีนย่อมตระหนักดีว่า เวียดนามมีความหวั่นเกรงจีนเพราะความตึงเครียดในทะเลจีนใต้ ที่เวียดนามเป็นหนึ่งในประเทศที่มีข้อพิพาทกับจีนในย่านนี้
หากจีนคิดว่าข้อตกลงซื้อ F-16 ของเวียดนามจากสหรัฐฯ จะมีขนาดจำกัด และไม่น่าจะเปลี่ยนแปลงสมดุลอำนาจระหว่างจีนและเวียดนาม โดยเฉพาะในทะเลจีนใต้ก็อาจจะพอยอมรับได้
แต่นั่นแปลว่า เวียดนามต้องสามารถสื่อสารกับจีนว่าการสร้างสัมพันธ์ใกล้ชิดกับสหรัฐฯนั้น ไม่ได้มีความตั้งใจที่จะดึงสหรัฐฯ เข้ามาปิดล้อมจีน
มองไปในความสัมพันธ์ระหว่างเวียดนามกับรัสเซียก็เป็นอีกมิติหนึ่งที่น่าสนใจ
เลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์เวียดนาม เหงียน ฟู้ จ่อง พบกับประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน แห่งรัสเซียเพื่อการเจรจาในปี 2561
ฮานอยเคยพึ่งพารัสเซียในด้านอาวุธ แต่ตอนนี้กำลังมองหาที่จะกระจายยุทโธปกรณ์ทางทหารของตน
เป็นการตอกย้ำว่าในอดีตเวียดนามพึ่งพาอาวุธจากรัสเซีย
วันนี้ฮานอยกระจายความเสี่ยงด้วยการคบหาโลกตะวันตกมากขึ้น
จนกระทั่งเมื่อไม่นานมานี้ เวียดนามพึ่งพารัสเซียประมาณร้อยละ 70 ของอาวุธยุทโธปกรณ์ อะไหล่ และการซ่อมแซมอุปกรณ์ในยุคโซเวียต
รวมถึงฝูงบินขับไล่ รถถัง และเรือรบรุ่นเก่า
ทำให้เวียดนามกลายเป็นผู้ซื้ออาวุธรายใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
แต่นับตั้งแต่การรุกรานยูเครนเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ปีที่แล้ว มอสโกจำเป็นต้องเก็บอาวุธยุทโธปกรณ์ไว้ใช้เองมากขึ้น ในขณะที่มาตรการคว่ำบาตรที่นำโดยตะวันตกได้คุกคามข้อตกลงด้านกลาโหมใดๆ ก็ตามที่ทำกับรัสเซีย
ขณะนี้เวียดนามพยายามจะกระจายแหล่งจัดหาชุดอุปกรณ์ทางทหารของตนโดยไม่จำกัดแต่เพียงรัสเซีย
เวียดนามทำให้ประจักษ์ว่าต่อแต่นี้ไปจะมองหาอาวุธจากแหล่งต่างๆ ทั่วโลก
ทั้งจากรัสเซีย, จีน, สหรัฐฯ, ยุโรปและเกาหลีใต้
เมื่อต้นปีที่ผ่านมา มีข่าวว่าเวียดนามกำลังเจรจากับสาธารณรัฐเช็ก ซึ่งเป็นอดีตรัฐบริวารของสหภาพโซเวียตในเรื่องนี้
เช็กเป็นหนึ่งในประเทศที่เคยได้ชื่อว่ามีความเป็นเลิศในการซ่อมแซมปรับปรุงอุปกรณ์ของรัสเซีย และสามารถผลิตอุปกรณ์ด้านการทหารใหม่ที่ใช้ร่วมกับอาวุธรุ่นเก่าของโซเวียตได้
เช่น เครื่องบิน เรดาร์ และการอัปเกรดชุดเกราะ ยานพาหนะ อาวุธปืน และอุปกรณ์อื่นๆ
อีกด้านหนึ่งเวียดนามก็สร้างความร่วมมือด้านกลาโหมกับจีนเช่นกัน
รัฐมนตรีกลาโหมจีน หลี่ ชางฟู่ (ตอนนี้กลายเป็นอดีตไปแล้ว) พบกับรัฐมนตรีกลาโหมเวียดนาม ฟาน วัน เกียง ในกรุงปักกิ่งเมื่อเร็วๆ นี้
ระยะหลังนี้เองที่เวียดนามขยับเข้าหาอาวุธของสหรัฐฯอย่างเปิดเผยและเป็นรูปธรรม
สองปีก่อนกองทัพอากาศสหรัฐฯ ตกลงที่จะจัดหาเครื่องบินฝึก T-6 จำนวน 12 ลำให้แก่เวียดนาม และแพ็กเกจบำรุงรักษา 10 ปี มูลค่าไม่ต่ำกว่า 225 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ โดยคาดว่าจะส่งมอบระหว่างปีหน้าถึง พ.ศ. 2570
การฝึกอบรมสำหรับนักบินเวียดนามจะรวมอยู่ในเงื่อนไขของข้อตกลง-ในเครื่องจำลองและกับผู้เชี่ยวชาญของสหรัฐฯ ในตอนกลางคืนและการบินในสภาพอากาศเลวร้าย
รวมถึงการเชิญกองทัพอากาศเวียดนามให้เข้าร่วมการฝึก “ธงแดง” ซึ่งเป็นการฝึกซ้อมรบทางอากาศขั้นสูงระยะเวลาสองสัปดาห์ที่กองทัพอากาศสหรัฐฯ จัดขึ้นปีละหลายครั้ง
โดยประกาศว่าเป็นกิจกรรมที่มีเป้าหมายคือ “จัดให้มีการฝึกอบรมและประสบการณ์ในการช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม” การบรรเทาสาธารณภัย ค้นหาและกู้ภัย และภารกิจสั่งการและควบคุม
แต่ไม่ต้องแปลกใจหากเป้าหมายใหญ่กว่านั้นคือ การสำแดงให้โลกเห็นว่าวันนี้เวียดนามคบหากับมหาอำนาจได้ทุกค่าย
และฝังกลบประวัติศาสตร์ที่ขมขื่นที่เวียดนามเคยมีทั้งกับสหรัฐฯ และจีน
เพื่อมองไปในอนาคตเท่านั้น!
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
มีแม้วไม่มีเรา! วัดใจจุดยืน 'พรรคส้ม' หลังทักษิณขีดเส้นแบ่งข้างทุกเวทีแล้ว
นายสุทธิชัย หยุ่น สื่อมวลชนอาวุโส โพสต์เฟซบุ๊กว่า "พรรคส้มกล้าไหม? มีแม้วไม่มีเรา!
ประเทศเดียวในโลก ‘นายกฯทับซ้อน’ มหันตภัยปี 2568
นายสุทธิชัย หยุ่น สื่อมวลชนอาวุโส โพสต์เฟซบุ๊กว่าสำนักวิจัยต่าง ๆ กำลังวิเคราะห์เพื่อพยากรณ์ว่าประเทศไทยจะต้องเผชิญกับความท้าทายสาหัสอะไรบ้างใน
‘หยุ่น’ ฟันเปรี้ยงรอดยาก! ชั้น 14 ดิ้นอย่างไรก็ไม่หลุด
นายสุทธิชัย หยุ่น สื่อมวลชนอาวุโส โพสต์เฟซบุ๊กว่า เรื่องชั้น 14 จะดิ้นอย่างไรก็หลุดยาก จึงเห็นการเฉไฉ, ตีหน้าตาย
บิ๊กเซอร์ไพรส์ 'สุทธิชัย หยุ่น' เล่นซีรีส์ 'The White Lotus ซีซั่น 3'
เรียกว่าสร้างความเซอร์ไพรส์อย่างต่อเนื่อง สำหรับซีรีส์ The White Lotus ซีซั่น 3 ซึ่งจะสตรีมผ่าน Max ในวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2025 เพราะนอกจากจะมี ลิซ่า-ลลิษา มโนบาล หรือ ลิซ่า BLACKPINK ไอดอลเกาหลีสัญชาติไทย ที่กระโดดลงมาชิมลางงานแสดงเป็นครั้งแรก ในบทของ มุก สาวพนักงานโรงแรม
ถามแสกหน้า 'ทักษิณ' จะพลิกเศรษฐกิจไทยยังไง ทุกซอกมุมในสังคมยังเต็มไปด้วยทุจริตโกงกิน
นายสุทธิชัย หยุ่น นักวิเคราะห์ข่าวและผู้ดำเนินรายการข่าวชื่อดัง โพสต์เฟซบุ๊ก ถึงกรณีนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ว่า “เขาจะพลิกประเทศไทยให้เศรษฐกิจล้ำโลกได้หรือ
เขตเศรษฐกิจพิเศษชายแดนที่กลายเป็น ที่ซ่องสุมของอาชญากรรมข้ามชาติ
เมื่อวานเขียนถึงรายงานในสำนักข่าวชายขอบที่สำนักจะได้รับความสนใจของรัฐบาลไทยว่าด้วยกิจกรรมอาชญากรรมข้ามชาติในบริเวณ “เขตเศรษฐกิจพิเศษ” ที่สามเหลี่ยมทองคำ