เช็กอาวุโส 'ผบช.' ป้ายแดง

ผบช.หน่วยสำคัญ อาทิ ผบช.น., ผบช.ภ.1-9 เป็นผู้มีอาวุโส และความรู้ความสามารถ เหมาะสมทุกนาย พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผบ.ตร.ได้ดำเนินการตามที่ให้คำมั่นสัญญาไว้ว่าจะพิจารณาดำเนินการแต่งตั้งข้าราชการตำรวจทุกระดับให้เป็นธรรมที่สุด" เรียกว่าไร้เสียงยี้ "บิ๊กต่อ" สอบผ่านฉลุย

ตรวจแถวการแต่งตั้งครั้งนี้ เฉพาะ รอง ผบช. ยศ พล.ต.ต. ขึ้น ผบช. ยศ พล.ต.ท. แทนตำแหน่งว่าง 19 ตำแหน่ง แบ่งสัดส่วนเป็นอาวุโส 50% จำนวน 8-9 เก้าอี้ และความรู้ความสามารถอีก 9-10 เก้าอี้ ทุกอย่างเป็นไปตามกฎ ตามเกณฑ์ โดยเฉพาะเหล่าอาวุโสไม่ได้ขึ้นแค่อาวุโสลำดับ 1-8 เท่านั้น ลำดับ 9 ลำดับ 10 ก็ได้ขยับขึ้นเช่นกัน ที่สำคัญกลุ่มอาวุโสต่างขึ้นเก้าอี้หลัก เก้าอี้เกรดเอกันทั่วหน้า ได้แก่ พล.ต.ต.ฐากูร นัทธีศรี รอง ผบช.ภ.3 อาวุโสลำดับ 1 ขึ้นเป็น ผบช.ภ.3, พล.ต.ต.กฤษกร พลีธัญญวงศ์ รอง ผบช.ศ. อาวุโสลำดับ 2 ขึ้นเป็น ผบช.สตส., พล.ต.ต.กิติศักดิ์ ดุรงควิบูลย์ รอง ผบช.ภ.1 อาวุโสลำดับ 3 ขึ้นเป็น ผบช.ภ.6, พล.ต.ต.พิสิฐ ตันประเสริฐ รอง ผบช.ก. อาวุโสลำดับ 4 ขึ้นเป็น ผบช.สงป., พล.ต.ต.จิรสันต์ แก้วแสงเอก รอง ผบช.น. อาวุโสลำดับ 5 ขึ้นเป็น ผบช.ภาค 1, พล.ต.ต.กฤตธาพล ยี่สาคร รอง ผบช.ภ.5 อาวุโสลำดับ 6 ขึ้นเป็น ผบช.ภ.5, พล.ต.ต.นิตินันท์ เพชรบรม รอง ผบช.น. อาวุโสลำดับ 7 ขึ้นเป็น จเรตำรวจ (สบ 8), พล.ต.ต.ยงเกียรติ มนปราณีต รอง ผบช.ตชด. ขึ้นเป็น ผบช.ตชด.

ส่วนกลุ่มความรู้ความสามารถที่ได้ขยับขึ้นก็มี พล.ต.ต.สุนทร เฉลิมเกียรติ รอง ผบช.ตชด. อาวุโส

ลำดับ 9 ขึ้นเป็น จเรตำรวจ (สบ 8), พล.ต.ต.อภิชาติ สุริบุญญา รอง ผบช.ทท. อาวุโสลำดับ 10 ขึ้นเป็น ผบช.กมค., พล.ต.ต.ศักย์ศิรา เผือกอ่ำ รอง ผบช.ภ.8 อาวุโสลำดับ 13 ขึ้นเป็น ผบช.ทท., พล.ต.ต.สิทธิชัย โล่กันภัย  รอง ผบช.ภ.7 อาวุโสลำดับ 14 ขึ้นเป็น ผบช.สยศ.ตร., พล.ต.ต.วัฒนา ยี่จีน รอง ผบช.ภ.7. อาวุโสลำดับ 19 ขึ้นเป็น ผบช.ศ., พล.ต.ต.ปิยะวัฒน์ เฉลิมศรี รอง ผบช.ภ.9 อาวุโสลำดับ 23 ขึ้นเป็น ผบช.ภ.9, พล.ต.ต.พฤทธิพงษ์ ประยูรศิริ รอง ผบช.ภ.5 อาวุโสลำดับที่ 34 ขึ้นเป็น ผบช.ประจำ สง.ผบ.ตร. (ทำหน้าที่นายตำรวจประจำ สมช.), พล.ต.ต.ศิร์ธัชเขต ครูวัฒนเศรษฐ์ รอง ผบช.ก. อาวุโสลำดับที่ 43 ขึ้นเป็น จเรตำรวจ (สบ 8), พล.ต.ต.สยาม บุญสม รอง ผบช.น. อาวุโสลำดับ 67 ขึ้นเป็น จเรตำรวจ (สบ 8), ส่วนอาวุโสประเภทสายงานแพทย์ พล.ต.ต.ไพบูลย์ เจียมอนุกูลกิจ รองนายแพทย์ใหญ่ (สบ 7) อาวุโสลำดับ 1 ขึ้นเป็น นายแพทย์ (สบ 8) โรงพยาบาลตำรวจ และ พล.ต.ต.วัชรินทร์ พิภพมงคล รองนายแพทย์  (สบ 7) โรงพยาบาลตำรวจ อาวุโสลำดับ 3 ขึ้นเป็น นายแพทย์ (สบ 8) โรงพยาบาลตำรวจ

เสร็จการแต่งตั้ง "นายพล" ล็อตแรก ก็มาต่อกันที่ "นายพล" ล็อตสอง ตำแหน่ง รอง ผบช.ลงมาถึง ผบก. ยศ พล.ต.ต. วาระประจำปี 2566 ทันที "บิ๊กต่อ" สั่นระฆังแจ้งแนวทางการคัดเลือกแต่งตั้ง "นายพล" ล็อตสอง โดยให้หน่วยงานหรือส่วนราชการที่มีระดับ ผบก.เป็นหัวหน้า ให้ตรวจสอบและยืนยันความถูกต้องของข้อมูล ตลอดจนกระบวนการคัดเลือกแต่งตั้งตำรวจ หากพิจารณาแล้วเห็นควรมีการเปลี่ยนแปลงแก้ไข ให้จัดทำบัญชีข้อมูลผู้เหมาะสมเลื่อนตำแหน่งสูงขึ้นเป็นระดับ ผบก. และบัญชีข้อมูลผู้ไม่เหมาะสมที่จะได้รับการพิจารณาเลื่อนตำแหน่งสูงขึ้นขึ้นใหม่ แล้วส่งไปยังหัวหน้าหน่วยหรือหน่วยงานขึ้นไปหนึ่งระดับ ตามสายการบังคับบัญชามาเรียบร้อยแล้วตั้งแต่วันที่ 19 ต.ค.ที่ผ่านมา ส่วนหน่วยงานระดับ ผบช.เป็นหัวหน้า ให้ตรวจสอบและยืนยันความถูกต้องของข้อมูล ตลอดจนกระบวนการคัดเลือกแต่งตั้งตำรวจ หากพิจารณาแล้วเห็นควรมีการเปลี่ยนแปลงแก้ไข ให้จัดทำบัญชีข้อมูลผู้เหมาะสมเลื่อนตำแหน่งสูงขึ้นเป็นระดับ รอง ผบช., รอง จตร.  และ ผบก. บัญชีข้อมูลผู้ไม่เหมาะสมที่จะได้รับการพิจารณาเลื่อนตำแหน่งสูงขึ้น และข้อมูลเสนอแต่งตั้งตำรวจระดับ รอง ผบช. และรอง จตร.ลงไปถึง ผบก.ขึ้นใหม่ แล้วส่งไปยัง ตร. (ผ่าน ทพ.) ภายใน 20 ต.ค. 66

ถ้าไม่มี “ข้อมูลใหม่” ในการ “ดีล” ระหว่างไทยกับ จีน ก็เป็นอันได้ข้อสรุปเกือบ 100 เปอร์เซ็นต์ว่า กองทัพเรือไทยจะไม่ได้เรือดำน้ำ S26T ที่ต่อจากประเทศจีนเข้ามาประจำการอย่างแน่นอนแล้ว เพราะผลสรุปของการแก้ไขปัญหาคือ การตั้งโครงการจัดหาเรือฟริเกตทดแทน  เพราะหลังจากในวงหารือระหว่าง “เศรษฐา ทวีสิน” นายกรัฐมนตรี กับ “สี จิ้นผิง” รวมถึงคณะของไทยและจีน อย่างไม่เป็นทางการที่ประเทศจีนผ่านมื้ออาหาร ที่ต้องมี “เหมา ไถ” สุราเชื่อมความสัมพันธ์เข้ามาเกี่ยวข้อง มีการรับข้อเสนอของไทยไปแบบกว้างๆ เพื่อให้ “สุทิน คลังแสง" รมว.กลาโหมกลับมาหารือกับกองทัพเรือ เพื่อเดินหน้าเจรจาอีกรอบ ซึ่ง “บิ๊กทิน” พร้อมทีมงานก็ใช้วาระในการเยือนกองทัพเรือเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา ปิดห้องคุยกับ 5 เสือ ทร.ที่มี พล.ร.อ.อะดุง พันธุ์เอี่ยม ผู้บัญชาการทหารเรือ นำทีม ได้ข้อสรุปตามที่มีการแถลงข่าวรูดม่านล้ม “เรือดำน้ำ”อีกครั้ง

นอกจาก “บิ๊กทิน” จะสรุปข้อมูลที่ไปคุยกับจีนให้ฟัง ซึ่งเป็นการรับปากในเบื้องต้น ต้องรอการเจรจาระดับกองทัพอีกรอบ และรอการดำเนินการของทางจีนว่าจะจัดตั้งคณะทำงานระดับไหนขึ้นมา แล้ว ทร.จึงจะฟอร์มทีมในการพูดคุยต่อไป แต่ดูแล้วก็คงไม่ใช่เรื่องง่ายนักเพราะ “บิ๊กทิน” ตั้งโจทย์ไว้ 2 ข้อ คือ 1.ต้องฟังกระแสสังคม 2.พิจารณาในกรอบกฎหมาย เพื่อไม่ให้มีการฟ้องร้องตามมา ซึ่งเงื่อนไขดังกล่าวก็เหมือนเป็น “ระเบิดเวลา” เพราะใช่ว่าจะมีเสียงตอบรับ “เรือฟริเกต 17,000 ล้านบาท" เพราะนอกจากจะแพงกว่าเรือดำน้ำไปประมาณ 3 พันล้านบาท (เรือดำน้ำราคา 13,940 ล้านบาท ซึ่งปัจจุบันจ่ายเงินงวดไปแล้ว 8,000 ล้านบาท) ก็มีคำถามตามมาว่าไปๆ มาๆ ทร.ไทยจะเสียเปรียบจีนอีกรอบหรือเปล่า ซึ่งเป็นเรื่องที่ ทร.ต้องทำความเข้าใจในเรื่องของราคาและสมรรถนะ รวมถึงระบบอำนวยการรบ ระบบอาวุธ ที่เราจะได้รับด้วย แม้จะมองว่าทั้งสองฝ่ายถูก “เบี้ยว" เหมือนกัน แต่ฝ่ายที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดคือ “เด็กดี" อย่างพี่ไทย ที่มองเรื่อง “มิตร” มากกว่าสิ่งอื่นใด

ผ่านไปแล้ว 3 เที่ยวบินของกองทัพอากาศ ในการรับคนไทยกลับจากประเทศอิสราเอล เหลืออีก 3 เที่ยวบินที่จะไปรับคนไทยจากประเทศที่ 3 หรือ Air Bridge โดย พล.อ.อ.พันธ์ภักดี พัฒนกุล ผู้บัญชาการทหารอากาศ ระบุว่าสำหรับเที่ยวบินที่ 4, 5 และเที่ยวบินที่ 6 ที่กองทัพได้รับมอบหมายจากศูนย์ RRC ให้อพยพคนไทย ที่สนามบินฟูไจราห์ UAE วันที่ 25, 28 และ 31 ต.ค. 66 จะยังคงใช้เครื่องบิน A340-500 โดยเที่ยวบินที่ 3 ซึ่งจะกลับถึงไทยวันนี้ (22 ต.ค.) ได้ออกเดินทางจากท่าอากาศยานทหาร 2 กองบิน 6 ดอนเมือง ด้วยบินเส้นทางการบินใหม่ ผ่าน 6 ประเทศ ได้แก่ เมียนมา  อินเดีย กาตาร์ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ซาอุดีอาระเบีย จอร์แดน และลงจอดที่ท่าอากาศยานนานาชาติเบนกูเรียน  กรุงเทลอาวีฟ โดยใช้เวลาประมาณ 8 ชั่วโมงครึ่ง จากเดิมที่ต้องบินอ้อมใช้เวลาประมาณ 13 ชั่วโมงเศษ ขณะที่เครื่องบิน C-130 ยังให้ “สแตนด์บาย” ไว้ก่อน เนื่องจากไม่มีห้องน้ำ อีกทั้ง ทอ.อยากให้คนไทยเดินทางกลับประเทศอย่างสะดวกสบายเลยให้ใช้เครื่องแอร์บัส

สัปดาห์ที่ผ่านมา พล.อ.เจริญชัย หินเธาว์ ผู้บัญชาการทหารบก ลงพื้นที่ชายแดนอีสานตรวจเยี่ยมหน่วยทหาร และติดตามการปฏิบัติภารกิจของกองกำลังป้องกันชายแดนพื้นที่กองกำลังสุรนารี ใน จ.บุรีรัมย์,  สุรินทร์, ศรีสะเกษ และอุบลราชธานี โดยมี พล.ท.อดุลย์ บุญธรรมเจริญ แม่ทัพภาคที่ 2 พร้อมด้วย พล.ต.ณัฏฐ์ ศรีอินทร์ ผู้บัญชาการกองกำลังสุรนารี ร่วมคณะไปให้กำลังใจและมอบสิ่งของบำรุงขวัญ ให้แก่กำลังพลที่ปฏิบัติงานในฐานปฏิบัติการ และจุดตรวจการณ์ตามแนวชายแดน อีกทั้งยังได้ใช้โอกาสนี้พบปะหารือร่วมกับส่วนราชการต่างๆ เพื่อประสานการปฏิบัติในงานด้านความมั่นคงตามแนวชายแดน รวมถึงการบูรณาการด้านการบรรเทาสาธารณภัยและช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่ อีกทั้งไปเยี่ยม กองบัญชาการกองกำลังสุรนารี ค่ายวีรวัฒน์โยธิน อ.เมืองสุรินทร์ จ.สุรินทร์ และตรวจเยี่ยมฐานปฏิบัติการฟ้าลั่น และจุดตรวจการณ์ผามออีแดง อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ, จุดผ่อนปรนทางการค้าช่องอานม้า อ.น้ำยืน จ.อุบลราชธานีด้วย.