ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ของจีน เปิดงานประชุมใหญ่ของผู้นำจากนานาชาติว่าด้วยโครงการ “หนึ่งแถบ, หนึ่งเส้นทาง” (BRI) ด้วยความคาดหวังที่สูงมาก
นี่คือการรวมตัวของประเทศต่างๆ ที่จะสร้าง “ทศวรรษทอง” ร่วมกัน
โดยมีจีนเป็นแกนหลัก
แต่ไม่ใช่เป็น “ผู้สั่งการ”
โดยต้องการแยกตัวเองออกจากบทบาทของสหรัฐฯ ที่ปักกิ่งเรียกว่าเป็น “ระเบียบโลกที่มีผู้มีอำนาจสูงสุดเพียงเจ้าเดียว”
แต่ “ระเบียบโลกแบบใหม่” ที่จีนต้องการจะนำเสนอนั้นคือการสร้าง “อนาคตร่วมกัน”
มองจากข้างนอก เราก็ย่อมจะเห็นได้ชัดว่านี่คือการแข่งขันระหว่างสองมหาอำนาจที่ต้องการจะชนะใจส่วนอื่น ๆ ของโลก
ภาพเปรียบเทียบมีให้เห็นได้ชัด...วันพุธที่สี จิ้นผิง ประกาศเปิดงาน BRI Forum (BRF) ที่ปักกิ่งนั้น เราก็เห็นภาพของประธานาธิบดีโจ ไบเดน บินลงสนามบินที่อิสราเอล
โดยได้รับการต้อนรับที่ขอบเครื่องบิน โดยนายกฯ เบนจามิน เนทันยาฮู ของอิสราเอล
ท่ามกลางกลิ่นอายของสงครามระหว่างอิสราเอลกับกลุ่มฮามาส
และการประท้วงต่อต้านอิสราเอลอย่างกว้างขวางในหลายๆ ประเทศในตะวันออกกลาง
หลังจากที่มีระเบิดไปลงที่โรงพยาบาลในฉนวนกาซาซึ่งทำให้มีผู้เสียชีวิตหลายร้อยคน
สองภาพที่ย้อนแย้งกันอย่างชัดเจนสะท้อนถึงบทบาทของสี จิ้นผิง และไบเดน ที่ไปคนละทาง
ในคำกล่าวเปิดเงินที่ปักกิ่ง สี จิ้นผิง พูดถึงโครงการ “ริเริ่มหนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง” ที่ครบรอบ 10 ปีปีนี้ว่า ในอนาคตจะ "เล็กและสวยงาม"
ในการกล่าวปราศรัยต่อผู้นำต่างประเทศและนักธุรกิจประมาณ 1,000 คนที่กรุงปักกิ่ง สี จิ้นผิง เสนอให้ยกระดับปรับปรุงการเชื่อมต่อโดยการบูรณาการท่าเรือ ตลอดจนเส้นทางทางทะเลและทางบกระหว่างเอเชียและยุโรป
“ความร่วมมือในโครงการ Belt and Road ได้ขับเคลื่อนจากแบบร่างไปสู่ขั้นตอนการลงสีอย่างพิถีพิถัน”
แต่เดิมเป็นเพียงแผนงาน แต่วันนี้ได้กลายเป็นความจริงด้วยโครงการสำคัญๆ จำนวนมาก
ไม่ว่าจะเป็นโครงการขนาดเล็กและสวยงามที่เป็นประโยชน์ต่อประชาชน”
โดยรวมแล้ว แผนของสีประกอบด้วย 8 ประเด็น ซึ่งหลายประเด็นเชื่อมโยงอย่างใกล้ชิดกับเป้าหมายของปักกิ่งในการบรรลุการเติบโตที่ “มีคุณภาพสูง” ในระยะยาว นั่นคือ
1.“ระเบียงโลจิสติกส์” ที่เชื่อมต่อยุโรปกับเอเชีย
2.“โซนอีคอมเมิร์ซบนเส้นทางสายไหมยุคใหม่” พร้อมข้อตกลงการค้าเสรีและสนธิสัญญาการลงทุนที่มากขึ้น
3.การตั้งกองทุนการเงินมูลค่า 47.8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (หรือประมาณ 1.7 ล้านล้านบาท) จากธนาคารเพื่อการพัฒนาของจีนหลายๆ แห่งรวมกันที่พร้อมจะสนับสนุนโครงการต่างๆ
4.การผลักดัน “การพัฒนาสีเขียว”
5.คำมั่นสัญญาในการพัฒนาทางวิทยาศาสตร์และปัญญาประดิษฐ์
6.การแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรมและระหว่างประชาชนมากขึ้น รวมถึงพันธมิตรด้านการท่องเที่ยว
7.“ความร่วมมือที่สะอาด” มากขึ้นเพื่อปรับปรุงความโปร่งใส
8.ความพยายามในการจัดตั้งสถาบันหนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง รวมทั้งสำนักเลขาธิการ
อาคันตุกะผู้มาเยือนที่โดดเด่นที่สุดน่าจะเป็นประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน
รวมถึงหัวหน้ารัฐบาลประมาณ 20 คน และตัวแทนของทั้งหมดประมาณ 140 ประเทศ
ที่เห็นได้ชัดว่าไม่ต้องการมีส่วนมาร่วมให้ปรากฏก็น่าจะเป็นประเทศทางตะวันตก
รวมถึงอินเดียที่มองเห็น BRI ของจีนเป็นอุปสรรคต่อการสานสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศ
วันเดียวกันกับที่มีการเปิดงานประชุมใหญ่นี้ ทางการจีนก็ประกาศตัวเลขอัตราโตเศรษฐกิจจีนสำหรับไตรมาสที่สาม...ที่อยู่ที่ 4.9%
ซึ่งต้องถือว่าไม่ใช่ตัวเลขที่เลวร้าย แม้จะต่ำกว่า 6.2% ของไตรมาสเดียวกันของปีที่แล้วก็ตาม
แต่ก็ยังสูงกว่าที่นักวิเคราะห์เคยคาดการณ์กันเอาไว้
เพราะเศรษฐกิจของจีนเติบโตในอัตราที่ช้ากว่าเมื่อทศวรรษที่แล้วอย่างมาก ความเต็มใจและความสามารถของปักกิ่งในการทุ่มเงินให้กับ BRI ต่อไปจึงเป็นประเด็นที่มีการวิเคราะห์กันพอสมควร
แต่ก็ต้องยอมรับว่าสี จิ้นผิง ได้ทุ่มเทกับโครงการนี้มาก
เพราะเป็น “นโยบายเรือธง” ในการดำเนินนโยบายต่างประเทศจีนภายใต้การนำของเขาทีเดียว
เป้าหมายหลักคือการออกแบบเพื่อเชื่อมโยงจีนกับยุโรปและแอฟริกา
และเพิ่มอิทธิพลบารมีของจีนในระดับนานาชาติ
ในงานเลี้ยงอาหารค่ำก่อนการเปิดประชุม ผู้นำจีนให้คำมั่นว่า "เราต้องดำเนินการด้วยความกระตือรือร้น และความกระตือรือร้นในการเดินทางครั้งใหม่สู่ทศวรรษทองอีกหนึ่งทศวรรษ"
จีนไม่ได้เปิดเผยเงินทุนทั้งหมดสำหรับโครงการริเริ่มที่ครอบคลุมทั่วโลก
แต่นักวิเคราะห์จากบริษัทที่ปรึกษาของสหรัฐฯ บางแห่ง คาดการณ์ว่าจนถึงขณะนี้มีการกู้ยืมไปแล้วประมาณ 1 ล้านล้านดอลลาร์ (36 ล้านล้านบาท)
สีได้ประกาศในคำปราศรัยเปิดงาน ว่า ธนาคารเพื่อการพัฒนาแห่งประเทศจีนและธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าของจีนจะจัดตั้งแหล่งอำนวยความสะดวกทางการเงินจำนวน 350 พันล้านหยวน (48 พันล้านดอลลาร์)
พร้อมด้วยการอัดฉีดเงิน 80 พันล้านหยวนเข้าสู่กองทุนเส้นทางสายไหมเพื่อสนับสนุนโครงการต่างๆ "ผ่านทางตลาด-วิธีการที่มุ่งเน้นและเชิงพาณิชย์”
จีนยืนยันต่อต้านคำกล่าวหาจากตะวันตกว่าประเทศที่มาร่วมโครงการนี้ต้องเจอกับ “กับดักหนี้” และกลายเป็นประเทศที่ต้องพึ่งพาจีน
สำนักวิเคราะห์บางแห่งอ้างว่าสินเชื่อที่มีปัญหาหรือ “หนี้เสีย” ก็กองพะเนินควบคู่ไปกับ BRI
โดยมีการเจรจาใหม่ ปรับโครงสร้างหนี้หรือตัดออกระหว่างปี 2563 ถึง 2565 มูลค่า 76.8 พันล้านดอลลาร์
นี่เป็นข้อมูลของบริษัทวิจัย Rhodium Group ของสหรัฐ ที่บอกว่าเดิมตัวเลขหนี้มีปัญหานั้นอยู่ที่ 17 พันล้านดอลลาร์ในช่วงสามปีที่ผ่านมา
แต่สี จิ้นผิง ยืนกรานเมื่อวันพุธว่า ความคิดริเริ่มดังกล่าวเป็นเรื่องของ “ความร่วมมือและผลประโยชน์ร่วมกัน”
ในขณะที่โลกตะวันตกเตือนภัยจากนโยบายนี้ และเสนอให้ “ลดความเสี่ยง” ในความสัมพันธ์กับจีน
ที่เรียกกันว่า de-risking ที่ลดความร้อนแรงจาก decoupling
แต่จีนยืนยันว่าเจตนารมณ์ของโครงการหนึ่งแถบหนึ่งเส้นทางเป็นแนวทางเพื่อต่อต้านการรวมตัวของกลุ่มประเทศเพื่อเป้าหมายของการเมือง
และคัดค้านการใช้มาตรการคว่ำบาตรฝ่ายเดียว
ปักกิ่งยืนยันต่อต้านแนวทางตะวันตกที่ใช้วิธีการการบีบบังคับทางเศรษฐกิจ และการแยกตัวออกจากกัน
สีเน้นย้ำถึงความมุ่งมั่นต่อกิจกรรมต่างๆ ที่รวมถึงการจัดตั้งเขตนำร่องความร่วมมือด้านอีคอมเมิร์ซ
และเพิ่มข้อตกลงการค้าเสรีกับผู้เข้าร่วม BRI
การค้าภายนอกของจีนคาดว่าจะเกิน 32 ล้านล้านดอลลาร์ระหว่างปี 2567 ถึง 2571 หลังจากที่มีมูลค่าการค้ารวม 6.3 ล้านล้านดอลลาร์ในปีที่แล้ว
นอกจากปูตินแล้ว ผู้นำที่เข้าร่วมจากอาเซียนคนอื่นนอกจากนายกฯ เศรษฐาจากไทย ก็มีประธานาธิบดีโจโก วิโดโด ของอินโดนีเซีย นายกรัฐมนตรีฮุน มาเนต ของกัมพูชา
จากประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ได้แก่ Kassym-Jomart Tokayev จากคาซัคสถาน,
Shavkat Mirziyoyev จากอุซเบกิสถาน, ทองลุน สีสุลิด จากลาว, UkhnaagiinKhurelsukh จากมองโกเลีย, James Marape จากปาปัวนิวกินี, Ranil Wickremesinghe จากศรีลังกา, Vo Van Thuong จากเวียดนาม นายกรัฐมนตรีรักษาการของปากีสถาน Anwar ulHaq Kakar ระบอบตอลิบันของอัฟกานิสถานส่งรัฐมนตรีพาณิชย์ ฮาจิ นูรุดดิน อาซีซี
ดูรายชื่อผู้เข้าร่วมก็พอที่จะมองเห็นภาพว่าโลกกำลังแบ่งออกเป็นขั้วไหนบ้าง
แม้หลายประเทศรวมทั้งไทยเราจะยืนยันว่าจะไม่ “เลือกข้าง” ก็ตาม.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
มีแม้วไม่มีเรา! วัดใจจุดยืน 'พรรคส้ม' หลังทักษิณขีดเส้นแบ่งข้างทุกเวทีแล้ว
นายสุทธิชัย หยุ่น สื่อมวลชนอาวุโส โพสต์เฟซบุ๊กว่า "พรรคส้มกล้าไหม? มีแม้วไม่มีเรา!
ประเทศเดียวในโลก ‘นายกฯทับซ้อน’ มหันตภัยปี 2568
นายสุทธิชัย หยุ่น สื่อมวลชนอาวุโส โพสต์เฟซบุ๊กว่าสำนักวิจัยต่าง ๆ กำลังวิเคราะห์เพื่อพยากรณ์ว่าประเทศไทยจะต้องเผชิญกับความท้าทายสาหัสอะไรบ้างใน
‘หยุ่น’ ฟันเปรี้ยงรอดยาก! ชั้น 14 ดิ้นอย่างไรก็ไม่หลุด
นายสุทธิชัย หยุ่น สื่อมวลชนอาวุโส โพสต์เฟซบุ๊กว่า เรื่องชั้น 14 จะดิ้นอย่างไรก็หลุดยาก จึงเห็นการเฉไฉ, ตีหน้าตาย
บิ๊กเซอร์ไพรส์ 'สุทธิชัย หยุ่น' เล่นซีรีส์ 'The White Lotus ซีซั่น 3'
เรียกว่าสร้างความเซอร์ไพรส์อย่างต่อเนื่อง สำหรับซีรีส์ The White Lotus ซีซั่น 3 ซึ่งจะสตรีมผ่าน Max ในวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2025 เพราะนอกจากจะมี ลิซ่า-ลลิษา มโนบาล หรือ ลิซ่า BLACKPINK ไอดอลเกาหลีสัญชาติไทย ที่กระโดดลงมาชิมลางงานแสดงเป็นครั้งแรก ในบทของ มุก สาวพนักงานโรงแรม
ถามแสกหน้า 'ทักษิณ' จะพลิกเศรษฐกิจไทยยังไง ทุกซอกมุมในสังคมยังเต็มไปด้วยทุจริตโกงกิน
นายสุทธิชัย หยุ่น นักวิเคราะห์ข่าวและผู้ดำเนินรายการข่าวชื่อดัง โพสต์เฟซบุ๊ก ถึงกรณีนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ว่า “เขาจะพลิกประเทศไทยให้เศรษฐกิจล้ำโลกได้หรือ
เขตเศรษฐกิจพิเศษชายแดนที่กลายเป็น ที่ซ่องสุมของอาชญากรรมข้ามชาติ
เมื่อวานเขียนถึงรายงานในสำนักข่าวชายขอบที่สำนักจะได้รับความสนใจของรัฐบาลไทยว่าด้วยกิจกรรมอาชญากรรมข้ามชาติในบริเวณ “เขตเศรษฐกิจพิเศษ” ที่สามเหลี่ยมทองคำ