ภาวนาขออย่าให้เป็น ‘นโยบาย ไปตายเอาดาบหน้า’เลย!

ยิ่งนานวันผมก็รู้สึกว่ารัฐบาลไทยเห็นคนไทยไม่มีความคิดอ่านเป็นของตัวเอง

หรือคิดว่าพอตนมีอำนาจแล้วจะใช้ตรรกะอะไรก็ได้โดยไม่ต้องคำนึงถึงเหตุและผลที่คนไทยอาจจะรับทราบด้วยความงุนงงและสับสน

เช่นบอกว่ามีผลสำรวจว่าคนไทย 76.4% ต้องการได้เงินแจก 10,000 บาท

รัฐมนตรีช่วยคลังบอกว่า “คนไทยร้อยทั้งร้อย” ต้องการเงินแจก

ความจริง จะสำรวจกี่ครั้ง ถ้าถามชาวบ้านว่าชอบไหมถ้าจะแจกเงิน คำตอบก็ไม่น่าจะเป็นอย่างอื่น

แต่ถ้ามีคำอธิบายประกอบคำถามว่าจะมีความเสี่ยงอะไรบ้าง และภาระหนี้สินที่ตามมาจะเป็นอย่างไร คำตอบก็จะออกมาอีกอย่างหนึ่ง

อยู่ที่รัฐบาลอยากจะฟังเสียงเชียร์อย่างเดียว หรืออยากรู้ความจริง

นายกฯบอกว่ากลุ่มนักวิชาการที่ออกมาแสดงความเห็นคัดค้านเรื่องนี้เป็นเพียง “เสียงเดียว” ขณะที่ “คนไทยนับสิบล้านกำลังรอเงินแจกนี้อยู่”

เหมือนจะแยกว่าคนที่เห็นต่างนั้นเป็นคนละพวกกับประชาชนส่วนใหญ่

ทั้ง ๆ ที่นักวิชาการและผู้ที่ออกมาแสดงเหตุผลคัดค้านนโยบาย “ประชานิยมที่มีความสุ่มเสี่ยง” นั้นก็ยึดผลประโยชน์ส่วนใหญ่ของประชาชนเป็นหลัก

การที่รัฐบาลพยายามจะออกมาพูดทำนองว่าคนที่ไม่เห็นด้วยกับนโยบายนี้ไม่เข้าใจคนจน รัฐบาลเท่านั้นที่ต้องการช่วยเหลือคนจนนั้นเป็นการแสดงความไม่รับผิดชอบต่อเหตุและผลของสังคมที่ควรจะต้องฟังข้อมูล

ไม่ใช่เรื่องของ “ความรู้สึกส่วนตัว”

หากแต่เป็นการแสดงออกของนักวิชาการที่อ้างงานวิจัยและทฤษฎีเศรษฐศาสตร์ที่เป็นมาตรฐานสากล

ส่วนนักวิชาการฝั่งรัฐบาลจะเห็นต่างและวิเคราะห์ไปอีกแนวทางหนึ่งเป็นเรื่องปกติ

แต่ไม่ใช่การออกมา “ด้อยค่า” ผู้เห็นต่าง และผูกขาด “ความรักชาติ” และจับเอา “ประชาชน” มาเป็นตัวประกันในการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเช่นนี้

อีกทั้งเลขานุการรัฐมนตรีคลังก็ยังบอกว่าการที่นักวิชาการที่เห็นค้านอ้างงานวิจัยของเดิมนั้นใช้ไม่ได้แล้วเพราะนโยบายแจก 10,000 บาทผ่าน digital wallet ของรัฐบาลชุดนี้มีความแตกต่างไปจากบริบทเดิม

คล้าย ๆ จะบอกว่านักวิชาการที่ออกมาต่อต้านรู้ไม่เท่าทันรัฐบาลนี้เสียแล้ว

ให้ไปฉีกตำราที่ร่ำเรียนมา และมาศึกษาเรียนรู้จากรัฐบาลชุดนี้ใหม่

ทำนองว่านี่คือวิสัยทัศน์ล้ำสมัยที่นักวิชาการและคนไทยที่ไม่เห็นด้วยนั้นตามไม่ทันเสียแล้ว

ตรรกะที่อ้างอีกข้อหนึ่งที่ฟังดูเพี้ยนเอามากคือที่เลขาฯนายกฯบอกว่ารัฐบาลต้องแจกให้ 10,000 บาทเท่ากันทุกคนเพราะรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันกำหนดให้ประชาชนคนไทยมีความเท่าเทียมกัน

เหมือนจะบอกว่าจะเลือกแจกเฉพาะคนจนไม่ได้ คนรวยก็ต้องได้เหมือนกัน

ท่านเลขาฯนายกฯบอกว่าคนไทย 99.99% เป็นหนี้แล้ว อย่างนี้ยังไม่เรียกว่า “เปราะบาง” อีกหรือ

ดังนั้นจึงต้องแจกให้ทุกคนไม่ว่ายากดีมีจน

ฟังดูแล้วเหมือนเรากำลังอยู่ในยุคของนิยาย 1984 ของ George Orwell กันเลยทีเดียว

จะมี “Ministry of Truth” หรือ “กระทรวงแห่งความจริง” ที่ประชาชนทุกคนต้องฟังและเชื่อตามที่รัฐบาลบอกมาเท่านั้น

เพราะประชาชนเป็นเพียงเครื่องมือของผู้มีอำนาจที่จะสั่งซ้ายหันขวาหันได้

ถ้าอ้างว่ารัฐธรรมนูญกำหนดให้คนไทยต้องเท่าเทียมกัน จะเลือกปฏิบัติไม่ได้ รัฐบาลคงต้องตอบคำถามอีกมากมายว่าทำไมคนบางคนหรือบางกลุ่มได้รับสิทธิ์เหนือกว่าประชาชนคนอื่น ๆ อย่างโจ๋งครึ่ม

ยิ่งเมื่อนายกฯบอกว่าที่ต้องแจก 10,000 บาททุกคนเพื่อ “ลดความเหลื่อมล้ำ”

การให้คนรวยกับคนจนเท่ากับ 10,000 บาทจะลดความเหลื่อมล้ำอย่างไรเป็นคำถามที่ควรแก่การพิเคราะห์พิจารณาเป็นอย่างยิ่ง

แต่ท้ายที่สุดสิ่งที่รัฐบาลต้องทำก็คือต้องทำให้เกิดความชัดเจนว่าจะเอาเงินมาจากไหน

และจะวิเคราะห์ “ความคุ้มค่า” อย่างไร

ง่าย ๆ คือให้ผู้รับผิดชอบมาตอบคำถาม 7 ข้อที่คณะนักวิชาการตั้งคำถาม

จะมาตอบแบบนักเลือกตั้งว่า “ถ้านโยบายนี้ไม่ได้ผลประชาชนก็ไม่เลือกเราใน 4 ปีข้างหน้า” นั้นเป็นการแสดงออกอย่างไม่รับผิดชอบอย่างยิ่ง

เพราะนี่มิใช่บ่อนการพนันที่คนมาเล่นบอกว่าถ้าเขาแทงผิดเขาก็เลิกเล่นไปเอง

ผลกระทบระยะกลางและระยะยาวต่อประเทศชาติและประชาชนมีหนักหน่วงเกินกว่าที่จะยอมให้นักเลือกตั้งมาเล่นเกมใช้เงินภาษีประชาชนและหลอกล่อชาวบ้านให้เชื่อว่าการแก้ปัญหาบ้านเมืองง่ายนิดเดียว

คือเอาเงินภาษีของประชาชนมาแจกประชาชนเพื่อให้เขาเลือกเรากลับมาใช้เงินประชาชนต่อ

คำชี้แจงล่าสุดจากรัฐมนตรีช่วยจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ยังไม่มีความชัดเจนว่าจะเอาเงินมาจากไหน

อย่างเดียวที่ยืนยันคือจะ “เดินหน้า” ต่อไป

ล่าสุดดูเหมือนจะบอกว่าจะต้องให้ทั้งคนและร้านค้า ต้องลงทะเบียน ร่วมโครงการ 'ดิจิทัลวอลเล็ต'

คาดว่าจะเปิดให้ร้านค้าที่สนใจร่วมโครงการฯ ลงทะเบียนได้ ในเดือนพฤศจิกายนนี้

หลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ในวันนี้ (10 ต.ค. 66) คุณจุลพันธ์บอกว่าที่ต้องเปิดให้มีการลงทะเบียนรับสิทธิในโครงการเพราะต้องยืนยันตัวตน หรือที่เรียกว่า KYCที่โครงการในอดีตของรัฐ มีการทำระบบยืนยันตัวตนเอาไว้ ประชาชนที่มีฐานข้อมูลอยู่แล้วประมาณ 40 ล้านคน ผ่านกระบวนการยืนยันตัวตน

แต่หากจะเข้าร่วมนโยบายดิจทัลวอลเล็ต จะต้องมีปุ่มให้กดยืนยันว่า จะเข้าสู่โครงการ

แต่ถ้าคนที่ยังไม่เข้าสู่กระบวนการยืนยันตัวตน ซึ่งมีประมาณ 10 ล้านคน

ด้วยกฎหมายที่กำหนดผ่านทางธนาคารแห่งประเทศไทย และกฎหมายอื่นๆ ยังจะจำเป็นที่จะต้องยืนยันตัวตน

คุณจุลพันธ์อธิบายว่าการยืนยันตัวตนก็เพื่อตรวจสอบบุคคลที่ได้รับสิทธิกับเลขบัตรประชาชน เป็นบุคคลนั้นจริงๆ รวมทั้งจะต้องมีการสแกนใบหน้า

เพราะเป็นเรื่องของการรับเงิน ซึ่งจะต้องมีความรัดกุมและเป็นไปตามกฎหมาย

ที่ประชาชนต้องรับรู้คือจะมีจะเป็นแอปพลิเคชันใหม่สำหรับโครงการนี้

คำถามสำคัญคือแหล่งที่มาของเงิน คุณจุลพันธ์ ยืนยันว่า รัฐบาลวางเป้าจะใช้งบประมาณเป็นหลัก

ตอนนี้มี “ตัวเลือก” ให้รัฐบาลและยืนยันว่าจะตัดสิน “ทางเลือกที่ดีที่สุดและมีความเหมาะสมที่สุด”

แต่ก็ยังไม่บอกว่ามันคืออะไร

ทำนองว่าขอให้ประชาชนเชื่อรัฐบาลก็แล้วกัน ตอนนี้ยังไม่บอก ครั้นถามเพิ่มเติมก็ได้รับคำตอบว่าจะให้คณะกรรมการใหญ่ตัดสิน

รมช.คลังบอกด้วยว่า ขณะนี้งบประมาณปี 2567อยู่ระหว่างให้หน่วยงานที่ของบประมาณยื่นเข้ามา

โครงการไหนที่ไม่มีความจำเป็น หรือดำเนินการไม่ทัน หรือโครงการไหนที่สามารถลดได้ จะต้องมีการปรับลด

ส่วนเงินที่เหลือมา ก็ต้องนำมาใช้ในการพัฒนา รายการลงทุนในโครงการที่มีความจำเป็น

แต่จนแล้วจนรอดก็ยังไม่บอกรายละเอียดที่ผู้คนสงสัยใคร่รู้อยู่ดี

ท่านบอกให้รอสิ้นเดือนจะแถลงแจ้งรายละเอียด

ทั้ง ๆ ที่โครงการนี้มีชีวิตมาตั้งแต่ก่อนเลือกตั้งหลายเดือน

ถ้าใครบอกว่าเป็นนโยบาย “ไปตายเอาดาบหน้า” ก็อย่าได้ไปหาว่าเขาไม่มีสติปัญญาวิสัยทัศน์ล้ำเลิศเหมือนรัฐบาลเลย

ผู้คนเขาอึดอัดคับข้องใจจริง ๆ

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ประเทศเดียวในโลก ‘นายกฯทับซ้อน’ มหันตภัยปี 2568

นายสุทธิชัย หยุ่น สื่อมวลชนอาวุโส โพสต์เฟซบุ๊กว่าสำนักวิจัยต่าง ๆ กำลังวิเคราะห์เพื่อพยากรณ์ว่าประเทศไทยจะต้องเผชิญกับความท้าทายสาหัสอะไรบ้างใน

บิ๊กเซอร์ไพรส์ 'สุทธิชัย หยุ่น' เล่นซีรีส์ 'The White Lotus ซีซั่น 3'

เรียกว่าสร้างความเซอร์ไพรส์อย่างต่อเนื่อง สำหรับซีรีส์ The White Lotus ซีซั่น 3 ซึ่งจะสตรีมผ่าน Max ในวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2025 เพราะนอกจากจะมี ลิซ่า-ลลิษา มโนบาล หรือ ลิซ่า BLACKPINK ไอดอลเกาหลีสัญชาติไทย ที่กระโดดลงมาชิมลางงานแสดงเป็นครั้งแรก ในบทของ มุก สาวพนักงานโรงแรม

ถามแสกหน้า 'ทักษิณ' จะพลิกเศรษฐกิจไทยยังไง ทุกซอกมุมในสังคมยังเต็มไปด้วยทุจริตโกงกิน

นายสุทธิชัย หยุ่น นักวิเคราะห์ข่าวและผู้ดำเนินรายการข่าวชื่อดัง โพสต์เฟซบุ๊ก ถึงกรณีนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ว่า “เขาจะพลิกประเทศไทยให้เศรษฐกิจล้ำโลกได้หรือ

เขตเศรษฐกิจพิเศษชายแดนที่กลายเป็น ที่ซ่องสุมของอาชญากรรมข้ามชาติ

เมื่อวานเขียนถึงรายงานในสำนักข่าวชายขอบที่สำนักจะได้รับความสนใจของรัฐบาลไทยว่าด้วยกิจกรรมอาชญากรรมข้ามชาติในบริเวณ “เขตเศรษฐกิจพิเศษ” ที่สามเหลี่ยมทองคำ