กระทรวงการต่างประเทศรายงาน สถานการณ์ความรุนแรงในอิสราเอล มีแรงงานไทยที่ได้รับผลกระทบตามที่สถานทูตกับฝ่ายแรงงานประจำสถานทูตประสานงานกัน มีผู้ได้รับบาดเจ็บ 8 คน รอการช่วยเหลือจากกองทัพ 3 คน เข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลโซโลกา (soroka) 5 คน เสียชีวิต 1 คน และถูกจับเป็นตัวประกัน 11 คน ซึ่งสถานทูตพยายามติดต่อกับอิสราเอลเพื่อยืนยันข้อมูล แต่ฝ่ายอิสราเอลยังไม่สามารถเข้าพื้นที่ได้ จึงไม่สามารถยืนยันข้อมูลใดๆ อย่างเป็นทางการได้
ใครที่เคยสงสัยว่ากองทัพซื้อเครื่องบินทำไม จะได้คำตอบในเร็วๆ นี้ "พล.อ.อ.พันธ์ภักดี พัฒนกุล" ผู้บัญชาการทหารอากาศ (ผบ.ทอ.) แจ้งว่า กองทัพอากาศได้จัดเตรียมความพร้อมเครื่องบินโดยสารพิสัยไกลแบบ Airbus A340 และเครื่องบินลำเลียงแบบ C-130 เพื่ออพยพคนไทยออกจากประเทศอิสราเอล รอเพียงรัฐบาลสั่งการมาเท่านั้น ส่วนแผนการจะลงจอดสนามบินใดของประเทศอิสราเอล ทางกองทัพอากาศจะประสานกับกระทรวงการต่างประเทศ เพื่อลงจอดยังสนามบินที่มีความปลอดภัยและตามที่กระทรวงการต่างประเทศได้วางแผนไว้
เครื่องบินแบบ Airbus A340-500 และเครื่องบินแบบ C-130 ซึ่งเคยใช้ในการอพยพคนไทยจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวในประเทศตุรกีและเหตุการณ์ความไม่สงบในสาธารณรัฐซูดานมาแล้ว สำหรับการเดินทางไปยังประเทศอิสราเอลนั้น จะต้องผ่านน่านฟ้าถึง 9 ประเทศ โดยใช้เวลาการเดินทาง 8 ชั่วโมงครึ่งถึง 9 ชั่วโมง และจะต้องประสานไปยังประเทศปลายทางว่าได้เปิดน่านฟ้าให้ทางเครื่องได้ลงหรือไม่ หากไม่เปิดจะต้องไปลงที่ประเทศใกล้เคียงก่อนที่จะอพยพคนไทยกลับมา ก็รับทราบโดยทั่วกัน กองทัพเขาพร้อมทำหน้าที่แล้ว
ส่วนรัฐบาลโดยเฉพาะตัวนายกรัฐมนตรี ก็พร้อมสั่งตลอด 24 ชั่วโมง แค่รอความชัดเจนจากอิสราเอล อนุญาตเมื่อไหร่ก็บินเมื่อนั้น งานนี้คนไทยต้องเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน ไม่แบ่งพวกแบ่งข้าง ส่งกำลังใจไปยังพี่น้องผู้ใช้แรงงานในอิสราเอลที่ได้รับผลกระทบ ให้ทุกคนที่เหลือปลอดภัยกลับสู่มาตุภูมิอย่างราบรื่น ...๐
ว.5 ทราบแล้วเปลี่ยน...เริ่มจะเห็นอนาคตรำไรว่า นโยบายแจกเงินดิจิทัลหัวละ 1 หมื่นบาท ใช้งบประมาณแผ่นดิน 5.6 แสนล้านบาทของรัฐบาลเศรษฐา-เศรษฐีนั้น จะสร้างความเสียหายให้กับประเทศซ้ำรอยโครงการรับจำนำข้าวของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ หลักแสนล้านบาทเช่นกัน
มีคำเตือนมากมายแต่รัฐบาลเมินเฉย เดินหน้านโยบายประชานิยมนี้ให้ได้ ตัวนายกรัฐมนตรีเล่นบทซื่อตาใส รับฟังทุกข้อท้วงติง แต่เบื้่องลึกฟังหูซ้ายทะลุหูขวา แถมยังใช้ประชาชนเป็นเกราะกำบังตัวเอง ดังคำให้สัมภาษณ์เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมาที่ร้อยเอ็ดว่า....
"....นักวิชาการออกมาวิพากษ์วิจารณ์เยอะ ผมน้อมรับ แต่ท่านก็เป็นแค่หนึ่งเสียง พี่น้องประชาชนมีอีกหลายสิบล้านเสียงที่ต้องการเงินดิจิทัล เราน้อมรับฟังและนำไปปรับปรุงเพื่อให้ประโยชน์สูงสุดตกอยู่กับทุกฝ่าย ทั้งฝ่ายที่เสียภาษี ฝ่ายประชาชนที่มีความเดือดร้อนจากปัญหาเศรษฐกิจอย่างมากที่หมักหมมมานาน ผมขอให้ความมั่นใจว่ารัฐบาลนี้จะไม่ลุด้วยอำนาจ และจะฟังความคิดเห็น แต่เหนือสิ่งอื่นใดความลำบากของประชาชน การที่ประชาชนขาดเงินทุนที่จะไปดำรงชีพเป็นเรื่องสำคัญ เป็นเรื่องที่รัฐบาลต้องให้ความสำคัญที่สุด ยืนยันจะไม่มียกเลิกเงินดิจิทัล...”
ในความหมายคือ นักวิชาการแค่ไม่กี่เสียงอย่าจุ้น เพราะประชาชนหลายสิบล้านเสียงต้องการเงิน 1 หมื่นบาท การแสดงทัศนะเช่นนี้ของนายกรัฐมนตรี สะท้อนให้เห็นถึงภาวะผู้นำประเทศว่าต่ำเตี้ยเสียเหลือเกิน การใช้ประชาชนเป็นตัวประกันเช่นนี้ ในทางการเมืองควรจะเลิกได้แล้ว เพราะเสียงเตือนเรื่องแจกเงินดิจิทัลไม่ได้มาจากโมหะ หรือความเกลียดชังใดๆ แต่มาจากหลักวิชาการที่รัฐบาลต้องฟัง
"สมชัย จิตสุชน" นักวิชาการจากทีดีอาร์ไอ เตือนซ้ำแล้วซ้ำอีก ล่าสุดเตือนอีกครั้งว่า หนึ่งใน ‘ข้อดี’ ของโครงการแจกเงินดิจิทัลที่รัฐบาลพยายามพร่ำบอกและโน้มน้าวให้คนเชื่อและสนับสนุนนโยบายนี้คือ ‘เงินจะหมุนได้หลายรอบ ทำให้เศรษฐกิจดีขึ้นหลายเท่าของเงินที่แจกไป’ โดยบางกระแสบอกว่าจะสูงถึง 4-6 เท่า
ผลการวิจัยของ ธปท. ที่ทำไว้หลายปีแล้ว (จึงไม่ควรโยงว่าเพื่อดิสเครดิตโครงการนี้) ว่าเงินโอนจะมีค่าตัวคูณทางการคลังเพียง 0.4 ไม่ใช่ 4-6 เท่าแต่อย่างใด แจกเงิน 100 บาทเศรษฐกิจโตแค่ 40 บาท คือหมุนไม่ถึงครึ่งรอบด้วยซ้ำ พูดง่ายๆ คือ ‘ได้ไม่เท่าเสีย’ แบบตรงไปตรงมา ยังไม่ต้องพูดถึง ‘ค่าเสียโอกาส’ ที่โครงการดีๆ จะถูกเบียดบังออกไปจากโครงการนี้ ...๐
นายชื่น ประชา
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
บันทึกหน้า 4
22 พ.ย. ลุ้น ผลการประชุมตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ จะ “รับ-ไม่รับ” คำร้องของ “ธีรยุทธ สุวรรณเกษร” ให้ “ทักษิณ ชินวัตร” และ “พรรคเพื่อไทย” หยุดพฤติการณ์ล้มล้างการปกครอง จาก 6 กรณี ดังนี้ หนึ่ง “ทักษิณ” ไม่ยอมติดคุกแม้แต่วันเดียว
บันทึกหน้า 4
ต้องเรียกว่า “พุธพิพากษา” ของแท้ โดยเฉพาะศาลอาญาที่ได้อ่านคำพิพากษาคดีที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 5 และมารดาผู้เสียชีวิตร่วมกันเป็นโจทก์ฟ้อง “สรารัตน์ รังสิวุฒาภรณ์” หรือ “แอม ไซยาไนด์” อายุ 36 ปี
บันทึกหน้า 4
ควันหลงการหาเสียงเลือกตั้งนายก อบจ.อุดรธานี ที่ นายทักษิณ ชินวัตร ในฐานะผู้ช่วยหาเสียง นายศราวุธ เพชรพนมพร ผู้สมัครนายก อบจ. สังกัดพรรคเพื่อไทย (พท.)
บันทึกหน้า 4
สมรภูมิเลือกตั้งนายก อบจ.อุดรธานี ในวันที่ 24 พ.ย. ไม่เพียงแค่ชัยชนะของพรรคเพื่อไทยและพรรคประชาชนในสนามท้องถิ่นเท่านั้น แต่ยังเป็นการหยั่งกระแสของทั้งสองฝ่ายในเวทีใหญ่ทางการเมืองอีกด้วย โดยเฉพาะทัพแดงนั้นแพ้ไม่ได้
บันทึกหน้า 4
บันทึกในวันครึ้มฟ้าครึ้มฝนจากผลกระทบปลายๆแถวพายุหม่านยี่ เสียงฟ้าร้องฟ้าคะนองอาจจะไม่มี แต่เสียงอื้ออึง "ทักษิณ" กลับมาแล้ว
บันทึกหน้า 4
เสือกทุกเรื่อง! ตำแหน่งใหม่ที่ "นายใหญ่" เพื่อไทย ศาสดาเสื้อแดง ภูมิใจสถาปนาตัวเองกลางวงปราศรัยใหญ่เมืองอุดร หวังเฉไฉปัดข้อหาเจ้าของพรรคและครอบงำลูกสาว