คงไม่ใช่แค่กรณีเด็กอายุ 14 ปี โผล่ออกมากราดยิงใครต่อใครผู้ไม่รู้อีโหน่อีเหน่ ไม่ได้มีเรื่อง-มีราว มีความโกรธ เกลียด เคียดแค้น พยาบาท อาฆาตริษยาและชิงชังกับตัวผู้ก่อเวร ก่อกรรม ด้วยเลย แต่มันน่าจะยังมีอีกหลายต่อหลายกรณีในอนาคตเบื้องหน้าที่จะสะท้อนให้เห็นถึง ความเสื่อม ชัดขึ้นๆ ไปตามลำดับ เป็นไปตามวัฏจักร วงจร กงล้อแห่งกาลเวลา ที่กำลังหมุนลงๆ อย่างมิอาจหลีกเลี่ยงได้เลย
ทำไงได้!!!...ในเมื่อบรรดาเราๆ-ทั่นๆ ทั้งหลาย หรือสังคมทั้งสังคม รวมทั้งสังคมโลกอีกด้วย ต่างก็ ไหล ไปในแนวนี้มานานแล้ว แนวที่ออกไปทางวัตถุนิยม บริโภคนิยม
อันเป็นสิ่งที่ อภิมหาพระ อย่าง ท่านพุทธทาสภิกขุ ท่านถึงกับตั้งไว้เป็นปณิธาน เป็นมรดกตกทอด ให้กับบรรดาผู้ที่ยังมีชีวิตอยู่ทั้งหลาย ให้หาลู่ หาทาง ที่จะฉุดกระชาก ลากถู ผู้คน ไม่ว่าใกล้ตัวไกลตัว ตลอดไปจนระดับทั่วทั้งโลก ให้มีโอกาสหลุดพ้นไปจากสิ่งที่เรียกว่า วัตถุนิยม ให้จงได้!!! แต่ก็นั่นแหละ...อย่างมากก็อาจหลุดมาได้แค่ขุยๆ เปลือกๆ แต่โดยแก่นกลาง แก่นสาระของสังคมไทยตลอดไปจนสังคมโลก ต่างมิอาจปฏิเสธการเถลือกไถลไปในแนวนี้ได้เลย
บรรดา ความเสื่อม ทั้งหลาย...มันจึงค่อยๆ ปรากฏให้เห็นเพิ่มขึ้นไปตามลำดับ อีกทั้งโดยความเร็ว ความแรง มันชักจะมี อัตราเร่ง แบบชนิด ทวีคูณ ยิ่งเข้าไปทุกที ไม่ใช่แค่เฉพาะเด็กอายุ 14 เท่านั้น กระทั่งระดับ รองประธานสภาฯ ท่านยังเชื่อๆ ของท่านประมาณว่า การที่ต้องสู้กับความหน้าด้าน จำต้องอาศัย ความหน้าด้านกว่า เอาเลยถึงขั้นนั้น คือมันออกไปทางเละเทอะ เลอะเทะ เลอะเทอะไปหมดแล้ว เหลวเป็นขี้ เหลวเป็นโจ๊ก ตั้งแต่ระดับยอดไปถึงฐาน โอกาสที่จะหน่วงๆ รั้งๆ หรือหาทางชะลอ ความเสื่อม ทั้งหลาย ไม่ให้มันถึงกับ พังครืน ลงมาแบบทั้งแผง ทั้งยวง ยังไงๆ...คงไม่ใช่เรื่องง่ายๆ แบบปอกกล้วยเข้าปากอยู่แล้วแน่ๆ
คล้ายๆ ช่วงจังหวะ เวลา ที่มันไปถึงขั้น กรุงแตก เมื่อครั้งอดีตนับร้อยๆ ปีที่ผ่านมา ในเมื่อทุกสิ่งทุกอย่างมันได้ สั่งสม เงื่อนไขและเหตุปัจจัยเพิ่มขึ้นๆ ไปตามลำดับ โอกาสที่จะแก้ไข-เยียวยา ไม่ให้มันล่มสลาย พังครืนลงมาต่อหน้าต่อตา แทบเป็นไปไม่ได้เอาเลย ยิ่งถ้าหากไม่ได้มี พระเจ้าตาก มีแต่ประเภท ทิชา ณ นคร อะไรทำนองนั้น ยิ่งมีสิทธิ์เละเป็นขี้ เป็นโจ๊ก เป็นเต้าหู้ตกโต๊ะ ยิ่งขึ้นไปเท่านั้น พูดง่ายๆ ว่า...เอาเข้าจริงๆ แล้ว คงมีแต่ เผด็จการโดยธรรม เท่านั้นเอง ที่อาจพอเอาอยู่พอจะเหมาะสม สอดคล้องกับแนวโน้มความเป็นไปของโลก หรือของสังคมไทยในตราบเท่าทุกวันนี้ได้อย่างเป็นจริง-เป็นจัง ไม่ใช่แบบประชาธิปไตย 3 กีบ 3 นิ้ว หรือกี่กีบ กี่นิ้ว ก็แล้วแต่
แต่ก็นั่นแหละ...ความเป็นไปของโลกและของสังคมไทย มันคงไม่ได้เอื้ออำนวยให้กับเผด็จการใดๆ ซักเท่าไหร่ โอกาสที่จะต้องสูญเสีย รายจ่าย ชนิดมหาศาล บานตะเกียง ระดับ เลือดนองท้องช้าง ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้เอาเลย ดังนั้น...ทุกสิ่งทุกอย่าง มันจึงแก้ยาก-แก้เย็น พอๆ กับปัญหา ปราบเซียน อะไรทำนองนั้น หรือมีแต่ต้องปล่อยให้ พระสยามเทวาธิราช ท่านชี้วัด ตัดสิน กันเอาเอง รอให้ เงื่อนไข และ เหตุปัจจัย มันค่อยๆ คลี่คลายด้วยตัวของมันเอง โดยผู้ที่รักชาติ บ้านเมือง รักความถูกต้องและความยุติธรรมทั้งหลาย หนีไม่พ้นต้องหมั่นยึดมั่นในธรรม ยึดเอาครรลอง-คลองธรรมเป็นที่ตั้ง รวมทั้งพร้อมที่จะอดทน อดกลั้น พร้อมที่จะเจริญ อุเบกขาธรรม ไม่เห็นแก่คน-แต่เห็นแก่ธรรม ไปจนกว่า ธรรมะย่อมคุ้มครองผู้ประพฤติธรรม ตามแบบฉบับพุทธภาษิตอันว่าด้วย ธัมโม หะเว รักขะติ ธัมมะจาริง นั่นแล
เพราะโดยอันที่จริง โดยกฎเกณฑ์ความเป็นไปของสรรพสิ่ง...วัฏจักร วงจร แห่งการ หมุนลง ไปสู่ความเสื่อมทั้งหลายนั้นมันก็คือแรงผลัก แรงดัน ที่จะนำไปสู่การ หมุนขึ้น นั่นเอง!!! เหมือนกับยิ่ง มืด เท่าไหร่ ก็ยิ่งเท่ากับใกล้ สว่าง เท่านั้น แนวโน้มความเป็นไปของโลกที่สะท้อนให้เห็นถึงความอับตัน การไร้ทางออก ทางไป ของระเบียบโลก ระบบโลก แบบเท่าที่เคยเป็นมาและเป็นไป มันกำลังปรากฏให้เห็นชัดขึ้นๆ ยิ่งเข้าไปทุกที ส่วนอะไร? ที่จะปรากฏขึ้นมาแทนที่ แม้ยังไม่อาจจินตนาการ ไม่อาจนึกรูปร่าง หน้าตาได้ชัดเจนก็ตามที แต่โดยกฎเกณฑ์ของสรรพสิ่ง โดยความเคลื่อนไหวของวัฏจักร วงจรที่หมุนไป-หมุนมาเป็นรอบๆ ย่อมเป็นตัวรับประกัน การันตีได้ล่วงหน้า ว่าย่อมต้องนำไปสู่การหมุนขึ้น นำไปสู่ความสว่าง นำไปสู่ความถูกต้อง-ยุติธรรม อย่างมิอาจปฏิเสธและหลีกเลี่ยงได้โดยเด็ดขาด
ดังนั้น...ก็อย่าถึงกับไปเหน็ดเหนื่อย เมื่อยล้า หมดเรี่ยว หมดแรง หมดสภาพ ฯลฯ หรือถึงกับต้อง หน้าด้านกว่า ในการต่อสู้เพื่อเอาชนะบรรดาพวกหน้าด้านทั้งหลาย สู้หันมา เอาชนะตัวเอง ให้มากๆ เข้าไว้นั่นแหละ...เข้าท่าที่สุด!!! หันมาปฏิรูปตัวเองเพื่อรองรับฉากสถานการณ์ใหม่ๆ ที่กำลังปรากฏขึ้นมาในอีกไม่นาน-ไม่ช้า โดยไม่ต้องไปเสียเวลาตั้งคำถามว่าเมื่อไหร่? ตอนไหน? เพราะทุกสิ่งทุกอย่างมันย่อมต้องเป็นไปตาม กฎเหล็กแห่งธรรมชาติ อันว่าด้วย ด้วยเหตุเพราะสิ่งนี้-สิ่งนี้...สิ่งนี้จึงเป็นไป อย่างไม่มีข้อยกเว้น นั่นแล...
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
เกรงว่าคำอวยพรปีใหม่จะไม่จริง
เวลาที่เรากล่าวคำอวยพรให้ใครๆ เราก็จะพูดแต่เรื่องดีๆ และหวังว่าพรของเราจะเป็นจริง ถ้าหากเราจะเอาเรื่องอายุ วรรณะ สุขะ พละ มาอวยพร โดยเขียนเป็นโคลงกระทู้ได้ดังนี้
แด่...ไพบูลย์ วงษ์เทศ
ถึงแม้จะช้าไปบ้าง...แต่ยังไงๆ ก็คงต้องเขียนถึง สำหรับการลา-ละ-สละไปจากโลกใบนี้ของคุณพี่ ไพบูลย์ วงษ์เทศ นักเขียน นักกลอนและนักหนังสือพิมพ์อาวุโส
กร่าง...เกรี้ยวกราด...ฤากลัว
ใครบางคนตำแหน่งก็ไม่มี สมาชิกก็ไม่ใช่ แต่แสดงบทบาทยิ่งใหญ่กว่าใครๆ เหมือนจงใจจะสร้างตำแหน่งใหม่ที่คนไทยต้องยอมรับ และดูเหมือนเขาจะประสบความสำเร็จเอาเสียด้วย
คำอวยพรปีใหม่ 2568
ใกล้ถึงช่วงปีหน้า-ฟ้าใหม่ยิ่งเข้าไปทุกที...การตระเตรียมคำอำนวย-อวยพรให้กับใครต่อใครไว้ในช่วงวาระโอกาสเช่นนี้ อาจถือเป็น หน้าที่ อย่างหนึ่ง
ก้าวสู่ปีใหม่ 2568
สัปดาห์สุดท้ายปลายเดือนธันวาคม 2567 อีกไม่กี่วันก็จะก้าวเข้าสู่ปี 2568 "สวัสดีปีใหม่" ปีมะเส็ง งูเล็ก
ลัคนากุมภ์กับเค้าโครงชีวิตปี 2568
สรุป-แม้ทุกข์-กังวลจะยังอ้อยอิ่งอยู่ตลอดปีแต่ต้นปีเร่งสร้างฐานชีวิต ครั้นพฤษภาคมไปแล้ว