หากดันทุรัง...อาจจะพังได้นะ

รัฐบาลบริหารประเทศมาได้ไม่ถึง 2 เดือนก็มีคนตั้งคำถามกันแล้วว่ารัฐบาลนี้จะอยู่ได้นาน หรือว่าจะอายุสั้น ส่วนหนึ่งก็เพราะเป็นรัฐบาลผสมข้ามขั้ว พวกเขาเคยอยู่กันคนละข้าง มีความขัดแย้งกันค่อนข้างรุนแรง บางครั้งก็มีการด่าทอต่อว่ากันแบบไม่ไว้หน้ากันเลย เข้าข่ายผีไม่เผา เงาไม่เหยียบ แต่ด้วยคณิตศาสตร์ทางการเมืองที่เป็นผลมาจากการเลือกตั้ง และจุดยืนของพรรคก้าวไกล ทำให้มีรัฐบาลสูตร Choc Mint ที่เป็นการรวมตัวแบบสลายขั้ว ผู้คนจึงไม่มั่นใจว่าพวกเขาจะทำงานด้วยกันได้ราบรื่นแค่ไหน เพราะเวลานี้คนของพรรคเพื่อไทยบางคนยังพูดจาด้อยค่ารัฐบาลลุงตู่ที่มีคนที่ร่วมงานกับลุงตู่ร่วมอยู่ในรัฐบาลนี้ด้วย อีกประการหนึ่ง

ผู้คนจำนวนหนึ่งก็ไม่ไว้ใจการทำงานของพรรคเพื่อไทยจากประสบการณ์ที่พวกเขาได้พบเจอในช่วงของรัฐบาลเพื่อไทย ไม่ว่าจะเป็นชื่อพรรคนี้หรือชื่อพรรคอื่นๆ ก่อนหน้านี้ ที่มีปัญหาเรื่องทุจริตประพฤติมิชอบที่ศาลตัดสินไปแล้วหลายคดี

หลายคนจึงมีข้อสรุปว่า ถ้ารัฐบาลเศรษฐา "ซื่อสัตย์ สุจริต" บริหารประเทศโปร่งใส อย่างตรงไปตรงมาตามหลักธรรมาภิบาล มีจริยธรรม ไม่มีวาระซ่อนเร้นเพื่อผลประโยชน์ส่วนบุคคลก็น่าจะอยู่ได้นาน หลายคนมีความหวังว่าพรรคร่วมน่าจะช่วยทำให้รัฐบาลที่มีพรรคเพื่อไทยเป็นแกนนำ น่าจะช่วยทำให้รัฐบาลเศรษฐาบริหารประเทศด้วยความโปร่งใส ไม่มีปัญหาอย่างที่ผ่านมา ภายใต้ความหวังดังกล่าว พวกเขาก็มีข้อกังขาเรื่องการแจกเงินดิจิทัล 10,000 ให้แก่คนไทยที่มีอายุ 16 ปีขึ้นไปทุกคน ที่จะต้องใช้เงินมากกว่า 560,000 ล้านบาท พวกเขามีคำถามมากมายที่แสดงให้เห็นว่าพวกเขามีความเคลือบแคลง และมองว่านโยบายดังกล่าวน่าจะมีวาระซ่อนเร้นบางอย่าง ถ้าหากรัฐบาลไม่สามารถตอบข้อสงสัยเหล่านี้ได้ รัฐบาลนี้อาจจะอายุสั้นก็ได้

  • เงินที่จะแจกมาจากไหน ต้องกู้หรือเปล่า ถ้าไม่กู้ต้องยืมจากธนาคารของรัฐหรือเปล่า จะกู้หรือจะยืม มันก็คือการเป็นหนี้ใช่ไหม และจะต้องตั้งงบประมาณมาใช้หนี้กี่ปี
  • ที่บอกว่าจะเก็บภาษีได้เพิ่ม มั่นใจได้แค่ไหน ถ้าจะเพิ่มได้จริงๆ จะเพิ่มได้มากตามความต้องการเลยหรือ อดีตผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยท่านก็บอกว่าได้ไม่เกิน 200,000 ล้าน
  • ที่บอกว่าจะไปตัดเอางบประมาณจากบางโครงการมานั้น จะเอามาจากโครงการไหน ถ้าเอามาจากโครงการที่เป็นประโยชน์กับประเทศชาติระยะยาวอย่าง Land bridge นี่ ประชาชนส่วนใหญ่เขาไม่เห็นด้วยนะ เพราะการแจกเงินแบบเหวี่ยงแหให้คนไทยกว่า 50 ล้านคนเช่นนี้มันเป็นเพียงผลประโยชน์ระยะสั้น แต่การทำ Land bridge นั้นเป็นผลประโยชน์ทางด้านเศรษฐกิจของประเทศระยะยาวไปชั่วลูกชั่วหลาน
  • สมมุติว่า ถ้ามีเงินพร้อมแจกประชาชนจริงๆ แล้ว ทำไมจะต้องแจกทุกคนที่อายุเกิน 16 ปี ทำไมไม่แจกเฉพาะกลุ่มที่มีความจำเป็นที่จะต้องได้รับการช่วยเหลือจากรัฐบาล การแจกแบบเหวี่ยงแห โดยคนที่ไม่มีความจำเป็นต้องได้รับการช่วยเหลือเช่นนี้ ทำไปทำไม ยิ่งแจกเป็นเงินดิจิทัล ไม่ใช่เงินบาท ยิ่งทำให้เกิดข้อสงสัยว่ามีวาระซ่อนเร้นอะไรหรือไม่
  • ถ้าหากจะแจกเฉพาะคนที่ต้องได้รับความช่วยเหลือ ทำไมจะต้องเอาเงินบาทไปแปลงเป็นเงินดิจิทัล ทำไมไม่โอนเงินบาทเข้าบัญชีของทุกคนที่จะได้รับแจกโดยตรงเลย มันไม่ง่ายกว่าหรือ มันไม่ตรงไปตรงมาและโปร่งใสกว่าหรือ และจะได้พ้นข้อครหาว่ามีวาระซ่อนเร้น มีคนได้ผลประโยชน์จากการแปลงเงินบาทเป็นเงินดิจิทัล เมื่อเป็นเงินบาท ประชาชนก็จะสามารถนำไปใช้จ่ายได้ทันที
  • สิ่งที่ประชาชนสงสัยก็คือ สกุลเงินดิจิทัลที่นำมาแจกแทนเงินสด เป็นของบริษัทเอกชนรายใด ทำไมจะต้องเป็นของบริษัทดังกล่าว มีผลประโยชน์ทับซ้อนหรือไม่ ถ้าหากมีคนของรัฐบาล หรือพวกพ้องของรัฐบาลได้ประโยชน์จากโครงการแจกเงินดิจิทัลนี้ จะเรียกว่าเป็นการทุจริตเชิงนโยบายหรือไม่
  • ที่ประชาชนส่วนใหญ่สงสัยเป็นอย่างมากก็คือ มีผู้รู้จำนวนมากมายออกมาแสดงความเห็นท้วงติง ไม่เห็นด้วยกับโครงการดังกล่าวนี้ ทำไมไม่ฟังคำท้วงติงบ้าง มีทั้งอดีตผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยมากกว่า 1 คน ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย ผู้บริหาร TDRI อดีตรัฐมนตรีคลังผู้เชี่ยวชาญการเงินการคลัง (มากกว่านายกรัฐมนตรีคนปัจจุบัน) นักวิชาการทางด้านเศรษฐศาสตร์จำนวนมาก นักธุรกิจภาคเอกชน พวกเขาพูดชัดเจนว่าไม่เห็นด้วยกับนโยบายนี้ ทำไมยังยืนกรานที่จะแจกให้ได้ ทั้งๆ ที่เวลานี้จะเอาเงินจากที่ไหนมาแจกก็ยังไม่มีความชัดเจน แต่ก็พยายามหาทางจะแจกเป็นเงินดิจิทัลแทนการให้เป็นเงินสด
  • เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว ประชาชนย่อมเกิดความเคลือบแคลงระแวงสงสัยว่า ทำไมจึงยังดื้อด้าน ดันทุรังจะแจกเงินดิจิทัล 10,000 ให้แก่คนอายุ 16 ปีขึ้นไปทุกคน ทำไมไม่แจกเฉพาะคนที่จำเป็น ทำไมไม่แจกเป็นเงินสด จะเอาเงินบาทมาแปลงเป็นเงินดิจิทัลไปเพื่ออะไร มีใครได้ประโยชน์จากโครงการนี้หรือไม่
  • ไม่ฟังคำเตือนเลยหรือว่ามันจะทำให้เงินเฟ้อ ผลลัพธ์ที่ได้จะเป็นเพียงระยะสั้น และการทวีคูณที่บอกว่าจะได้หลายรอบนั้น มันไม่มีความแน่นอน สินค้าจะราคาแพงขึ้น และหนี้สาธารณะก็จะเพิ่มขึ้น ถ้าหากกู้มาแจก จะต้องจ่ายดอกเบี้ยปีละเท่าไหร่ เรื่องนี้จะเป็นปัญหากับงบประมาณของประเทศไปอีกหลายปี
  • รัฐบาลอ้างว่าต้องการกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยได้บอกแล้วว่าเศรษฐกิจของประเทศกำลังเดินหน้าไปด้วยดี ไม่มีความจำเป็นต้องกระตุ้น แต่ต้องดูแลเรื่องเสถียรภาพของเงินเฟ้อ อัตราแลกเปลี่ยน เงินทุนสำรองมากกว่า ประเทศไทยเหมือนคนไข้ที่หายแล้ว ออกจากโรงพยาบาลไปพักฟื้นที่บ้านแล้ว หมอจะตามมาปั๊มหัวใจโดยไม่จำเป็นให้คนไข้เจ็บตัวและเสียค่าใช้จ่ายทำไมล่ะ

โดยสรุปแล้ว นโยบายแจกเงินดิจิทัล 10,000 แบบเหวี่ยงแหเช่นนี้ เป็นนโยบายที่ไร้ความรับผิดชอบ สร้างหนี้โดยไม่จำเป็น สร้างนิสัยให้ประชาชนขาดวินัยทางการเงิน และติดนิสัยที่จะรอรับการแจกเงินจากรัฐบาล สร้างความอ่อนแอให้กับสังคมที่คอยแบมือรับผลประโยชน์จากโครงการประชานิยม ที่พรรคการเมืองใช้งบประมาณหลวงมาสร้างคะแนนนิยมให้พรรค การเป็นรัฐบาลจะทำโครงการอะไรต้องมั่นใจว่าการใช้งบประมาณจะต้องไม่ทำลายความมั่นคงทางการเงินการคลังของประเทศระยะยาว การหาเสียงโดยสัญญาว่าจะให้แบบเหวี่ยงแหเช่นนี้มันทำให้พรรคการเมืองที่หาเสียงเช่นนี้ได้คะแนนชนะการเลือกตั้ง และเมื่อจะต้องทำตามสัญญาที่ให้ไว้ในตอนหาเสียง มันจะทำลายความมั่นคงทางการเงินการคลังของประเทศ หลายฝ่ายออกมาเตือนแล้ว ถ้าหากไม่ฟัง ยังคงดันทุรัง ระวังจะพังพินาศ ถ้าพรรคการเมืองพังพินาศ ก็เป็นกรรมของพรรคการเมือง แต่ถ้าหากประเทศชาติพังพินาศ ประชาชนที่ไม่เห็นด้วย และช่วยกันเตือนแล้ว แต่รัฐบาลไม่ยอมฟัง มันไม่ยุติธรรมสำหรับประชาชนนะ อย่าให้โครงการนี้จบลงแบบโครงการรับจำนำข้าวเลยนะ...ขอร้อง.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

สับสนอลหม่าน แพทองธาร...พาลแพแตก

เราเคยทำนายไว้ว่าเมื่อนายกรัฐมนตรีที่ชื่อเศรษฐาพ้นจากการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนที่ 30 และได้แพทองธารมาเป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 31

โลกแห่งความเป็นจริงที่กำลังถูกกลืนกิน

ด้วยความก้าวหน้า-ก้าวไกลของเทคโนโลยีข้อมูล-ข่าวสาร ที่เตลิดเปิดเปิงไปถึงระดับ 5G-6G และไม่รู้จะอีกกี่ G ภายในอนาคตอันใกล้ แถมยังมีตัวเร่ง ตัวกระตุ้น

เก้าอี้ 'ผบ.ตร.' ชัด

อุ๊ย....อุ๊ย แม้ บิ๊กต่าย-พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รอง ผบ.ตร.จะปฏิเสธเสียงแข็งการเข้าพบ นายกฯ อุ๊งอิ๊ง-แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ไม่เกี่ยวกับการทาบทาม

เลือกผู้แทนกันยังไง...เมืองไทยจึงเป็นเช่นนี้

หลังจากรู้ผลการเลือกตั้งในคืนวันที่ 14 พฤษภาคม 2566 บ้านเมืองไทยก็ดูพิกลพิการ อยู่ในสภาพที่ไม่อาจจะเดินหน้าเพื่อการพัฒนาที่จะสร้างความเจริญก้าวหน้า

ว่าด้วยการ'ฟันธง'ของนักวิเคราะห์ทั้งหลาย

ถึงเคยคลุกคลีอยู่กับการ วิเคราะห์ การบ้าน-การเมือง มาร่วมกว่าๆ 2 ทศวรรษเห็นจะได้ แต่ด้วยอายุปูนนี้และด้วยสภาพแวดล้อมที่ทำให้ตัวเองใกล้ๆ