หน่วยข่าวกรองของอังกฤษกับสหรัฐฯ มีชื่อ MI6 กับ CIA ต่างเห็นพ้องกันในยามนี้ว่าภัยคุกคามต่อโลกตะวันตกคือจีน
ปกติหัวหน้าหน่วยราชการลับ 2 แห่งนี้จะไม่ค่อยพูดอะไรในที่สาธารณะ แต่เมื่อเร็วๆ นี้ ริชาร์ด มัวร์ หัวหน้า MI6 ออกมาเตือนอย่างเปิดเผยว่า
“หน่วยข่าวกรองของจีนมีความสามารถสูงและดำเนินการจารกรรมขนาดใหญ่ต่อสหราชอาณาจักรและพันธมิตรของเรา”
ด้วยเหตุนี้หน่วยข่าวกรองกลาง (CIA) ซึ่งก็คือ MI6 ของอังกฤษก็มีความระแวงจีนอย่างยิ่งเช่นกัน
จัดตั้ง China Mission Center หรือ “ศูนย์ภารกิจว่าด้วยจีน” มีหน้าที่หลักคือมุ่งเน้นเฉพาะภัยคุกคามด้านความปลอดภัยที่มาจากจีน
ข่าวในแวดวงข่าวกรองตะวันตกบอกว่า CIA ประสบกับความพ่ายแพ้ครั้งใหญ่ในปฏิบัติการต่อจีนในช่วง 2010 ถึง 2012 เพราะเมื่อเจ้าหน้าที่และสายข่าวของตนถูกสังหารไปอย่างไร้ร่องรอย
มาถึงวันนี้ CIA เชื่อว่าจะใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีดิจิทัลและไฮเทคยุคใหม่เพื่อปฏิบัติการมุ่งเป้าไปที่จีนอีกครั้ง
วันนี้จีนได้สร้างศักยภาพด้านข่าวกรองที่สามารถท้าทายทั้ง CIA และ MI6 ได้แล้ว
คำถามใหญ่ในแวดวงนักคิดนักวิเคราะห์ทางตะวันเกี่ยวกับจีนวันนี้คือ
จีนสามารถพัฒนาตนเองเพื่อบรรลุเป้าหมายอย่างเป็นทางการในการเป็นประเทศที่มีอำนาจมากที่สุดในโลกภายในปี 2050 หรือจากนี้ไปอีกประมาณ 30 ปีหรือไม่?
หรือจะสามารถทำได้สำเร็จก่อนนั้น?
บทวิเคราะห์ใน Nikkei Asia ของญี่ปุ่นอ้างถึงนิตยสาร Foreign Policy นิตยสารเกี่ยวกับประเด็นระหว่างประเทศของสหรัฐฯ ว่าเพิ่งตีพิมพ์บทความความคิดเห็น 2 ชิ้นที่แสดงมุมมองที่ย้อนแย้งกันเกี่ยวกับจีนในประเด็นนี้
ฉบับแรกที่เผยแพร่เมื่อวันที่ 24 กันยายน ในหัวข้อ "จีนกำลังตกต่ำ และนั่นคือปัญหา"
ผู้เขียนเชื่อว่าจีนได้เข้าสู่ยุคแห่งความเสื่อมโทรม เพราะต้องเผชิญกับปัญหามากมาย เช่น ปัญหาจำนวนแรงงานที่ลดลง การต้องพึ่งพาพลังงานและอาหารที่เพิ่มขึ้นกับปัญหามลภาวะหนักหน่วง ล้วนเป็นปัจจัยที่ชะลอการเติบโตที่ของจีน
บทความนี้เตือนว่า เพราะปัญหาเหล่านี้ปักกิ่งอาจจะต้องตัดสินใจใช้กำลังเพื่อแก้ไขปัญหาไต้หวันก่อนที่วอชิงตันและไทเปจะมีเวลาเพียงพอที่จะตั้งหลักเพื่อสกัดจีนได้ก่อน
บทความที่สองตีพิมพ์เมื่อวันที่ 21 พ.ย. พาดหัวว่า "พรรคคอมมิวนิสต์จีนยังคงคิดว่าตนเป็นเจ้าของอนาคต"
ผู้เขียนแย้งว่าการผงาดขึ้นของจีนยังไม่ถึงจุดสูงสุด และบรรดาผู้นำปักกิ่งยังคงเชื่อมั่นว่าประเทศที่มีประชากรมากที่สุดในโลกอย่างจีนจะแซงหน้าสหรัฐฯ อย่างมีกลยุทธ์แน่นอน
ผู้เขียนตั้งข้อสังเกตว่า จีนยังคงเติบโตในด้านต่างๆ ได้เร็วกว่าสหรัฐฯ อีกด้านหนึ่งจุดอ่อนของอเมริกาคือสังคมที่เต็มไปด้วยความแตกแยก
ขณะที่พรรคคอมมิวนิสต์จีนยังกำกับดูแลให้ตนได้รับความนิยมผ่านการปกครองแบบเผด็จการที่ตอบโจทย์ของสังคมจีนวันนี้
หากวิเคราะห์สถิติเศรษฐกิจทั้งหลายก็จะเห็นว่าจีนจะยังคงสยายปีกอำนาจทางเศรษฐกิจต่อไป แม้จะชะลอตัวลงบ้างก็ตาม
GDP หรือผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศของจีนเติบโตประมาณ 6% ในปี 2019 ก่อนเกิดการระบาดของ COVID-19
ตัวเลขจีดีพีของจีนอาจแซงหน้าสหรัฐฯ ในปี ค.ศ.2028 (หรือ 7 ปีจากนี้) หากเราเชื่อการวิเคราะห์ของศูนย์วิจัยเศรษฐกิจแห่งประเทศญี่ปุ่น (Japan Center for Economic Research)
ที่เห็นได้ชัดคือ จีนแซงหน้าสหรัฐฯ ในการยื่นจดสิทธิบัตรระดับนานาชาติทั้งในปี 2019 และ 2020 ขึ้นเป็นอันดับ 1 ของโลกแล้ว
นอกจากนี้จีนยังแสดงความล้ำหน้าบดบังสหรัฐอเมริกาในเทคโนโลยีบางอย่าง เช่น คอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล อุปกรณ์เฝ้าระวัง และโครงสร้างพื้นฐานด้านการสื่อสารเคลื่อนที่
แน่นอนว่าจีนก็เผชิญกับปัญหาประชากรที่ลดลงและความเหลื่อมล้ำทางรายได้ที่หนักหน่วงในหลายๆ ด้าน
แต่พรรคคอมมิวนิสต์จีนก็มั่นใจว่าจะสามารถรักษาเสถียรภาพทางสังคมได้โดยใช้เครือข่ายการเฝ้าระวังทางดิจิทัลที่พัฒนาขึ้นเอง
และเป็นระบบที่ประเทศตะวันตกเทียบไม่ได้ เพราะการปกครองไม่เอื้อต่อการใช้เทคโนโลยีควบคุมพฤติกรรมของประชาชนได้ถึงขนาดนั้น
โลกควรจะมีจุดยืนอย่างไรต่อจีนที่อาจจะกลายเป็นมหาอำนาจเบอร์ 1 ในอนาคต?
คำตอบก็น่าจะเป็นว่า หากจีนเติบโตเร็วจนเกิดความมั่นใจว่าจะสามารถกำกับควบคุมทิศทางของโลกได้ ก็น่าหวาดหวั่นว่าจีนจะใช้อิทธิพลทางด้านเศรษฐกิจ, ไซเบอร์และการเมืองกดดันชาติที่เห็นต่าง
แต่ขณะเดียวกันโลกส่วนอื่นๆ ก็ควรจะต้องเปิดโอกาสคบหากับจีนอย่างสร้างสรรค์
เพราะจีนย่อมตระหนักว่าหากตนถูกมองว่าเป็นมหาอำนาจที่ต้องการจะกุมชะตากรรม โลกก็ย่อมจะถูกต่อต้านอย่างแรง
และสหรัฐฯ กับยุโรปก็คงไม่ยอมให้จีนเติบใหญ่ถึงขนาดคับโลกขนาดนั้น
สำหรับประเทศขนาดกลางและเล็กอย่างไทยและอาเซียน “ยุทธศาสตร์การคานอำนาจระหว่างสองยักษ์ใหญ่ระดับโลก” จึงมีความสำคัญอย่างล้นเหลือ.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
มีแม้วไม่มีเรา! วัดใจจุดยืน 'พรรคส้ม' หลังทักษิณขีดเส้นแบ่งข้างทุกเวทีแล้ว
นายสุทธิชัย หยุ่น สื่อมวลชนอาวุโส โพสต์เฟซบุ๊กว่า "พรรคส้มกล้าไหม? มีแม้วไม่มีเรา!
ประเทศเดียวในโลก ‘นายกฯทับซ้อน’ มหันตภัยปี 2568
นายสุทธิชัย หยุ่น สื่อมวลชนอาวุโส โพสต์เฟซบุ๊กว่าสำนักวิจัยต่าง ๆ กำลังวิเคราะห์เพื่อพยากรณ์ว่าประเทศไทยจะต้องเผชิญกับความท้าทายสาหัสอะไรบ้างใน
‘หยุ่น’ ฟันเปรี้ยงรอดยาก! ชั้น 14 ดิ้นอย่างไรก็ไม่หลุด
นายสุทธิชัย หยุ่น สื่อมวลชนอาวุโส โพสต์เฟซบุ๊กว่า เรื่องชั้น 14 จะดิ้นอย่างไรก็หลุดยาก จึงเห็นการเฉไฉ, ตีหน้าตาย
บิ๊กเซอร์ไพรส์ 'สุทธิชัย หยุ่น' เล่นซีรีส์ 'The White Lotus ซีซั่น 3'
เรียกว่าสร้างความเซอร์ไพรส์อย่างต่อเนื่อง สำหรับซีรีส์ The White Lotus ซีซั่น 3 ซึ่งจะสตรีมผ่าน Max ในวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2025 เพราะนอกจากจะมี ลิซ่า-ลลิษา มโนบาล หรือ ลิซ่า BLACKPINK ไอดอลเกาหลีสัญชาติไทย ที่กระโดดลงมาชิมลางงานแสดงเป็นครั้งแรก ในบทของ มุก สาวพนักงานโรงแรม
ถามแสกหน้า 'ทักษิณ' จะพลิกเศรษฐกิจไทยยังไง ทุกซอกมุมในสังคมยังเต็มไปด้วยทุจริตโกงกิน
นายสุทธิชัย หยุ่น นักวิเคราะห์ข่าวและผู้ดำเนินรายการข่าวชื่อดัง โพสต์เฟซบุ๊ก ถึงกรณีนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ว่า “เขาจะพลิกประเทศไทยให้เศรษฐกิจล้ำโลกได้หรือ
เขตเศรษฐกิจพิเศษชายแดนที่กลายเป็น ที่ซ่องสุมของอาชญากรรมข้ามชาติ
เมื่อวานเขียนถึงรายงานในสำนักข่าวชายขอบที่สำนักจะได้รับความสนใจของรัฐบาลไทยว่าด้วยกิจกรรมอาชญากรรมข้ามชาติในบริเวณ “เขตเศรษฐกิจพิเศษ” ที่สามเหลี่ยมทองคำ