สี จิ้นผิงกำลังจะสร้าง “ระเบียบโลกทางเลือกใหม่” ที่มีจีนเป็นแกน...เพื่อประกบกับ “ระเบียบโลกขั้วเดียว” ที่มีสหรัฐฯเป็นพระเอก
ผู้นำจีนเสนอ Global Development Initiative (GDI) หรือ “ความริเริ่มพัฒนาโลก”
ซึ่งเป็นฐานรากของ “พิมพ์เขียว” ของจีนเพื่อสร้างพันธมิตรกลุ่มใหม่ที่มุ่งท้าทายโลกที่นำโดยตะวันตกมาช้านาน
ตัว GDI เองมีเป้าหมายสำคัญคือการส่งเสริมการพัฒนา, ลดความยากจนและส่งเสริมสุขภาพในประเทศกำลังพัฒนา
แต่อีกสองแผนที่ตามมาสะท้อนถึง “ยุทธศาสตร์องค์รวม” ที่กระชับก้าวย่างอันสำคัญของปักกิ่ง
นั่นคือ Global Security Initiative หรือ “ความริเร่มด้านความมั่นคงโลก”
และ Global Civilization Initiative หรือ “ความริเริ่มด้านอารยธรรมโลก”
เป็นความพยายามอย่างชัดแจ้งของจีนที่จะระดมแรงสนับสนุนจาก “โลกขั้วใต้” (Global South) เพื่อขยายอิทธิพลและบทบาทของจีนในเวทีระหว่างประเทศ
และขยายภาพของจีนในสหประชาชาติไปพร้อม ๆ กันด้วย
เป็นที่ชัดเจนว่านี่คือความพยายามของปักกิ่งที่จะปรับปรุง “กฎกติกามารยาท” ระดับโลกที่เคยถูกกำหนดโดยโลกตะวันตกมาตลอดตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่สองเป็นต้นมา
เท่ากับเป็นการประกาศ “จองพื้นที่” ของตนในกิจการระหว่างประเทศ
เพราะจีนมีความเชื่อมั่นอย่างยิ่งว่าความสำคัฐของจีนกับโลกตะวันตกจะยังตกอยู่ในภาวะของความผันผวนปั่นป่วนไปอีกยาวนาน
ดังนั้น จีนจึงจำเป็นต้องสร้างเครือข่ายใหม่ของตนที่มุ่งเชิญชวนเอาประเทศอื่น ๆ ที่ไม่ได้อยู่ในกลุ่มตะวันตก
และเป็นประเทศที่มีความสงสัยคลางแคลงในความจริงใจของสหรัฐฯและยุโรป
หัวใจของพิมพ์เขียวของจีนครั้งนี้คือกับสร้างความเป็นผู้นำประเทศที่กำลังพัฒนาทั้งหลายมาเป็นพวก
โดยมีเป้าหมายหลักอย่างน้อยสองประการ
นั่นคือกลุ่มประเทศที่ถึงมาเป็นมิตรนั้นจะเกิดช่องทางการค้าและการลงทุนให้กับจีนที่ต้องการเห็นการขยายเศรษฐกิจของตนที่จะต้องอาศัยตลาดต่างประเทศ
โดยเฉพาะหากกลัวว่าตะวันตกจะพยายามกดดันจีนด้วยการปิดตลาดของตน
การมีตลาดสำรองในโลกที่สามจึงสอดคล้องกับเป้าหมายระยะกบางและระยะยาวของจีนอย่างชัดเจน
เป้าหมายที่สองคือเมื่อทุกประเทศสมาชิกมีเสียงหนึ่งเสียงเหมือนกันในสหประชาชาติ การได้ประเทศกำลังพัฒนาจำนวนมากมาเป็นพวกก็ย่อมจะเป็นการเสริมสร้างอำนาจต่อรองในเวทีระหว่างประเทศเมื่อต้องมีการลงคะแนนเสียง
นั่นคือการขยายพลังอำนาจและค่านิยมของจีนไปยังอีกส่วนหนึ่งของโลกที่รอคอยการนำของจีนเพื่อทดแทนอิทธิพลตะวันตก
นั่นเท่ากับว่าจีนกำลังกระโดดเข้าไปเป็นผู้นำของกลุ่มประเทศที่มีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจสูงสุดของโลก
ในบรรดา 152 ประเทศที่ถือว่าเป็น “ประเทศกำลังพัฒนา” ในสหประชาชาตินั้นมีดัชนีรวมกันเหนือกว่าประเทศอื่น ๆ ที่อยู่ในกลุ่มตะวันตก
ไม่ว่าจะเป็นขนาดประชากร
อัตราโตของประชาการ
หรืออัตราเติบโตด้านผลผลิตมวลรวมหรือ GDP ในช่วงกว่า 20 ปีที่ผ่านมา
ถือเป็นครั้งแรกที่จีนส่งออกไปตลาดของประเทศกำลังพัฒนาทั้งหลายซึ่งส่วนใหญ่เป็นหุ้นส่วนของจีนในโครงการ “หนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง” (Belt and Road Initiative) รวมกันแล้วมากกว่าที่ส่งไปสหรัฐฯ, สหภาพยุโรปและญี่ปุ่นเสียอีก
สี จิ้นผิงเคยประกาศในเวทีระหว่างประเทศในหลายโอกาสอย่างชัดแจ้งมาตลอดว่า
“ประเทศจีนจะเป็นสมาชิกของครอบครัวประเทศกำลังพัฒนาเสมอไป เราจะทุ่มเทอย่างเต็มที่ในการเป็นกระบอกเสียงของประเทศกำลังพัฒนาในระบบธรรมาภิบาลของโลก...”
พูดง่าย ๆ คือจีนต้องการจะส่งเสียงแทนประเทศ “โลกทางใต้” (Global South) เพื่อถ่วงดุลอำนาจของโลกตะวันตกอย่างเป็นรูปธรรม
องค์กรระหว่างประเทศที่เป็นเป้าของปฏิบัติการใหญ่ของจีนในด้านนี้นอกจากสหประชาชาติแล้วก็ยังมีองค์กรการค้าโลก (WTO), G20 และอื่น ๆ
นอกเหนือไปจากที่จีนมีบทบาทคึกคักอยู่แล้วเช่น Shanghai Cooperation Organization กับ BRICS
แน่นอนว่าจีนได้เปรียบสหรัฐฯในการสร้างเครือข่ายใหม่ตรงที่ว่าวอชิงตันมีค่านิยมเรื่องประชาธิปไตยและสิทธิมนุษยชนขณะที่จีนใช้นโยบาย “ไม่แทรกแซงกิจการภายใน” ของประเทศอื่น
ในเมื่อประเทศกำลังพัฒนาจำนวนไม่น้อยยังมีระบบการปกครองแบบรวบอำนาจและหลายรัฐบาลถูกตะวันกตกคว่ำบาตร เมื่อจีนยื่นมือแห่งมิตรภาพมาให้ จึงไม่ต้องแปลกใจว่าทำไมจึงมีความเป็นมิตรกว่ามาก
เพราะ “พูดกันรู้เรื่อง” มากกว่า
จึงเรียกได้ว่าแนวทางของสี จิ้นผิงวันนี้คือการใช้แนวทาง “พหุภาคีนิยม...ที่มีอัตลักษณ์แบบจีน” หรือที่นักวิชาการฝรั่งเรียกว่า Multilateralism with Chinese characters
ที่มีความแตกต่างไปจากโมเดล “พหุภาคีแบบตะวันตก”
จีนมุ่งจะใช้กลไกของสหประชาชาติทั้งหลาย รวมถึง 15 สำนักงานชำนัญพิเศษที่มีกิจกรรมระดับโลกในด้านต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นการเงิน, โทรคมนาคม, สาธารณสุขหรือการแก้ปัญหาความยากจน
หากปักกิ่งสามารถใช้กลไกขององค์กรโลกเหล่านี้ในการขยายอิทธิพลบารมีของตนไปทั่วโลกได้ นี่คือเครื่องมืออันสำคัญที่จีนต้องการจะใช้เป็นฐานในการสร้าง “ระบบโลกทางเลือกใหม่” ที่มีจีนเป็นแกนนำ
หนึ่งในความเคลื่อนไหวที่เป็นรูปธรรมในกรณีนี้คือการที่จีนก่อตั้งเวทีเสวนาสหประชาชาติในปี 2020
ปักกิ่งเรียกชื่อเวทีนี้ว่า Group of Friends of the Global Development Initiative
หรือ “กลุ่มเพื่อนของความริเริ่มการพัฒนาสากล”
ถึงวันนี้ จีนสามารถเชิญชวนประเทศต่าง ๆ มาร่วมแล้วอย่างน้อย 70 ชาติ
และได้ประชุมระดับรัฐมนตรีครั้งแรกไปแล้ว...อีกทั้งยังได้รับความเห็นชอบและชื่นชมจากเลขาธิการสหประชาชาติ Antonio Guterres แล้วเช่นกัน
ไม่มีการเปิดเผยรายชื่อของประเทศสมาชิกของกลุ่ม แต่มีข่าวว่ามีจำนวนมากที่เป็น “หุ้นส่วน” ของจีนในโครงการ BRI ซึ่งจีนได้ให้กู้เพื่อสร้างโครงสร้างพื้นฐาน
โดยที่สถาบันการเงินของจีนหลายแห่งได้ปล่อยกู้ให้กับประเทศเหล่านี้รวมแล้วเกือบ 1 ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯ (หรือประมาณ 35 ล้านล้านบาท) ตั้งแต่ปี 2013 เป็นต้นมา
ตอกย้ำถึงความสัมพันธ์ฉันท์มิตรที่เป็น “เจ้าหนี้” และ “ลูกหนี้” และ “หุ้นส่วน” ในการพัฒนาประเทศ
ถือเป็นความสัมพันธ์ทับซ้อนหลายชั้นที่เสริมสร้างบารมีของจีนต่อประเทศกำลังพัฒนาเหล่านี้อย่างชัดเจน
การศึกษาของสถาบันวิจัยแห่งหนึ่งสหรัฐฯ AidData อ้างว่าอย่างน้อย 20 ประเทศในกลุ่มนี้ได้แสดงถึงความสนิทสนม (หรือนักวิพากษ์อาจจะเรียกว่าความ “จงรักภักดี”) ต่อจีนด้วยการยกมือในสหประชาชาติไปทางเดียวกับจีนเป็นส่วนใหญ่
รายละเอียดของรายงานชิ้นนี้บอกว่าอย่างน้อย 75% ของการลงมติในสมัชชาสหประชาชาตินั้น ประเทศกลุ่มนี้โหวตไปในทิศทางเดียวกับปักกิ่ง
ในกรณีของกัมพูชา, ปากีสถาน, ทาจิกิสถาน, อุซเบกิสถานและซิมบาบเว, ซึ่งส่วนใหญ่เป็นหนี้ประเทศจีน, การลงมติในองค์กรสหประชาชาติ อย่างน้อย 80% สอดคล้องกับทิศทางของจีน
นักวิจัยสำนักนี้อ้างด้วยว่ายิ่งประเทศกลุ่มนี้ลงมติไปทางเดียวกับจีนในองค์กรระหว่างประเทศมากเท่าใด จำนวนเงินกู้ที่จีนปล่อยให้ก็เพิ่มสูงขึ้นตามไปด้วย
แต่แน่นอนว่าคงไม่ใช่ปัจจัยเฉพาะปริมาณเงินกู้จากจีนเท่านั้นที่มีผลต่อแนวทางการโหวตของประเทศเหล่านี้
ปัจจัยอื่นรวมถึงความเห็นสอดคล้องด้านการเมือง, ความใกล้ชิดด้านการค้าและการลงทุน, ตลอดจนการมีความเห็นตรงกันในประเด็นอื่น ๆ ระหว่างปักกิ่งกับประเทศนั้น ๆ
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
แชร์สนั่นโซเชียล ลุกโชนเป็นไฟลามทุ่ง! ‘อนุทิน’ บุกเพจ ‘สุทธิชัย’ แจงกรณีคุยกับ ‘ทรัมป์’
ภายหลัง เพจ Suthichai Yoon โพสต์ข้อความว่า‘ทรัมป์‘ ให้สัมภาษณ์ Wall Street Journal ว่าเขาได้ใช้ tariff กดดันให้ไทยกับกัมพูชายุติการสู้รบ!
มีแม้วไม่มีเรา! วัดใจจุดยืน 'พรรคส้ม' หลังทักษิณขีดเส้นแบ่งข้างทุกเวทีแล้ว
นายสุทธิชัย หยุ่น สื่อมวลชนอาวุโส โพสต์เฟซบุ๊กว่า "พรรคส้มกล้าไหม? มีแม้วไม่มีเรา!
ประเทศเดียวในโลก ‘นายกฯทับซ้อน’ มหันตภัยปี 2568
นายสุทธิชัย หยุ่น สื่อมวลชนอาวุโส โพสต์เฟซบุ๊กว่าสำนักวิจัยต่าง ๆ กำลังวิเคราะห์เพื่อพยากรณ์ว่าประเทศไทยจะต้องเผชิญกับความท้าทายสาหัสอะไรบ้างใน
‘หยุ่น’ ฟันเปรี้ยงรอดยาก! ชั้น 14 ดิ้นอย่างไรก็ไม่หลุด
นายสุทธิชัย หยุ่น สื่อมวลชนอาวุโส โพสต์เฟซบุ๊กว่า เรื่องชั้น 14 จะดิ้นอย่างไรก็หลุดยาก จึงเห็นการเฉไฉ, ตีหน้าตาย
บิ๊กเซอร์ไพรส์ 'สุทธิชัย หยุ่น' เล่นซีรีส์ 'The White Lotus ซีซั่น 3'
เรียกว่าสร้างความเซอร์ไพรส์อย่างต่อเนื่อง สำหรับซีรีส์ The White Lotus ซีซั่น 3 ซึ่งจะสตรีมผ่าน Max ในวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2025 เพราะนอกจากจะมี ลิซ่า-ลลิษา มโนบาล หรือ ลิซ่า BLACKPINK ไอดอลเกาหลีสัญชาติไทย ที่กระโดดลงมาชิมลางงานแสดงเป็นครั้งแรก ในบทของ มุก สาวพนักงานโรงแรม
ถามแสกหน้า 'ทักษิณ' จะพลิกเศรษฐกิจไทยยังไง ทุกซอกมุมในสังคมยังเต็มไปด้วยทุจริตโกงกิน
นายสุทธิชัย หยุ่น นักวิเคราะห์ข่าวและผู้ดำเนินรายการข่าวชื่อดัง โพสต์เฟซบุ๊ก ถึงกรณีนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ว่า “เขาจะพลิกประเทศไทยให้เศรษฐกิจล้ำโลกได้หรือ


