สำหรับผมและเทคโนโลยี ผมไม่ Hi-Tech แต่ผมไม่ Low-Tech ผมเป็น Middle-Tech ความหมายคือ ผมใช้คอมพิวเตอร์เป็น ใช้แอปพลิเคชันเป็น ใช้มือถือเป็น และใช้เครื่องมืออิเล็กทรอนิกส์เพื่ออำนวยความสะดวกในชีวิตประจำวันเป็น แต่ให้ตายเถอะ ถ้ามันพังหรือเสียเมื่อไหร่ ผมไม่มีทางซ่อมมันได้ เต็มที่คือปิดและเปิดเครื่องใหม่ เผื่อจะช่วยได้ ถ้าปิดแล้วไม่ช่วยอะไร ผมก็เรียกทีมงาน และ/หรือ ศรีภรรยามาช่วยครับ
ผมรู้ว่าสิ่งที่ผมจะเขียนต่อไปอาจทำให้แฟนคอลัมน์หลายท่านส่ายหน้า แต่อย่าเพิ่งรำคาญครับ ผมมีเหตุผลของผม
สำหรับเรื่องเทคโนโลยีนั้น ผมเชื่อว่ากลุ่มคนอายุราวๆ ผม อยู่ในยุคที่สัมผัสโลกเทคโนโลยีจ๋า (ยุคปัจจุบัน) ที่คนเราสามารถใช้เสียงเปิด-ปิดโทรทัศน์ได้ และยุคที่คนเรายังต้องลุกขึ้นจากที่นั่งเพื่อปรับเสียงและเปลี่ยนช่องทีวี เพราะไม่มีรีโมต ถือว่าเป็นกลุ่มคนที่รู้จักโลกทั้งสอง สัมผัสโลกทั้งสอง เลยมีความสามารถ เอาตัวรอดเกือบทุกสถานการณ์ ไม่พึ่งพาโลกเก่าจนเกินไป แล้วก็ไม่พึ่งพาโลกใหม่จนเกินไป
คือเป็นกลุ่มคนที่ขับรถเกียร์กระปุกได้ (ยามจำเป็น) และเป็นกลุ่มคนที่ปรับตัวได้ ใช้เทคโนโลยี Apple Watch Ultra 2 เป็น เมื่อเกิดอุบัติเหตุ (ในการขับรถเกียร์กระปุก) และใช้ Apple Watch แจ้งคนใกล้ชิดว่ากำลังบาดเจ็บอยู่ พวกเราใช้และรู้จักโลกทั้งสองใบ เพราะตอนเด็กๆ เราเติบโตในโลกแบบหนึ่ง (โลกที่ไม่มีรีโมตทีวี) แล้วก็ยังทันโตในโลกที่เทคโนโลยีกำลังนำหน้า ไม่ว่าจะเป็นเครื่องแฟกซ์ หรือยุคแรกของอินเทอร์เน็ต
สำหรับกลุ่มคนยุคคุณพ่อคุณแม่ผม เรื่องเทคโนโลยีเริ่มต้นในยุคที่เขาอาจเลยวัยที่สนใจหรือวัยที่ต้องใช้จริงๆ ก็คงจะเหมือนๆ กับกลุ่มพวกผม ในอนาคตที่เทคโนโลยีในวันนั้นอาจจะก้าวหน้าความสนใจของพวกเราที่ต้องใช้ในชีวิตประจำวัน หรือเราอาจมีวิถีชีวิตที่ไม่สอดคล้องกับเทคโนโลยีในอนาคตก็ได้ เพราะเลยจุดสนใจและเลยความเข้าใจของเรา
จะเป็นสิ่งที่ดีหรือไม่ ก็ว่ากันไปครับ สำหรับคนอย่างผมที่เป็น Middle Tech ผมก็อยู่ในจุดพอดีๆ คือใช้เทคโนโลยีที่ผมใช้เป็น โดยที่ไม่รู้สเปกของมัน แต่ใช้ถูกลักษณะและใช้เพื่ออำนวยความสะดวกในชีวิตจริงๆ เช่นที่ผมเคยเล่าเรื่องอ่านหนังสือช่วงที่ผมอยู่อินโดนีเซีย และต้องเดินทางบ่อย ผมเปลี่ยนพฤติกรรมการอ่านหนังสือจากเป็นเล่ม หันมาอ่าน Kindle แทน เพราะมันสะดวก แล้วมันตอบโจทย์สำหรับผมเวลาเดินทาง แต่หลังๆ ผมต้องวาง Kindle ลง เพื่อให้ลูกผมเห็นว่าผมอ่านหนังสือเป็นเล่มจริงๆ ไม่ใช่เล่นเกมในแท็บเล็ต ผมยังอยู่ในวัยที่ปรับตัวได้ และรับโลกที่อ่านหนังสือเป็นเล่ม และรับโลกที่อ่านหนังสือผ่าน Kindle ได้ ซึ่งไม่ใช่พรสวรรค์อะไรหรอกนะครับ เพียงแต่เน้นว่า วัยกลุ่มพวกผมนั้นโตในโลกทั้งสองแบบ
ผมจึงสนใจเรื่องราวการขึ้นศาลของ Google ในสหรัฐอเมริกาช่วงนี้ ถ้าจะแบ่งโลกของเราให้ชัด ผมเคยอยู่ในโลกที่ไม่มี Google เป็นโลกที่ต้องพึ่งพาห้องสมุดเป็นหลัก ต้องยืมหนังสือ ต้องใช้ Microfilm และต้องใช้ Encyclopedia เพื่อทำรายงาน หาข้อมูล และทำการบ้าน ยังเป็นยุคที่เราสามารถพูดเต็มปากเต็มคำว่า “ผมไม่รู้ครับ” จนครูจะด่า และไล่เราไปห้องสมุดเพื่อหาข้อมูล แต่ยุคนี้เป็นยุคใหม่ เราอยู่ในยุคที่พูดว่า “ผมไม่รู้ครับ” ไม่ได้อีกต่อไป เพราะถ้าเราพูดว่า “ผมไม่รู้ครับ” และปล่อยให้ไม่รู้ต่อไป แสดงว่าเราเป็นคนขี้เกียจครับ เพราะยุคนี้เป็นยุคที่ข้อมูลอยู่ปลายนิ้วเรา จากเมื่อก่อนอยู่ในโลกที่ไม่จำเป็นต้องมี Google แล้วอยู่ได้ ตอนนี้ผมยอมรับว่า ให้ผมอยู่ในโลกที่ไม่มี Google ผมอยู่ไม่ได้ครับ
Google คือสุดยอดแหล่งความรู้ หรือสุดยอดแหล่งข้อมูล ถ้าไม่รู้อะไร ถาม Google เลย มันเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันของคนเกือบทุกคนไปแล้ว Google ใช้แทนคำว่า Search ได้เลย เหมือนที่เราใช้คำว่า แฟ้บ สำหรับน้ำยาซักผ้า Xerox เวลาจะถ่ายเอกสาร คำว่า Google กลับกลายเป็นคำกริยาในตัว ทั้งๆ ที่ Google ไม่ได้เป็นเจ้าแรกในการทำ Search Engine มีอยู่หลายเจ้าที่ทำ Search Engine ก่อน แต่ที่ทำให้ประสบความสำเร็จรายแรกๆ คือ Yahoo เมื่อปี 1995 และดูเหมือนจะครองโลก Search Engine ตลอดนิรันดร์ได้ ดูยิ่งใหญ่ ดูทันสมัย ดูก้าวหน้า
แต่ปรากฏว่าช่วงที่ Yahoo ครองโลกและเติบโตอย่างรวดเร็ว ระหว่างปี 1995-1998 ทาง Google มีความเห็นว่า การบริการของ Yahoo ไม่ตอบโจทย์ เขาเลยคิดโจทย์ใหม่บนสนามเล่นเดิม ซึ่งหมายความว่า Yahoo สามารถให้ข้อมูลต่อผู้ใช้ได้ทุกเรื่อง มีแหล่งข้อมูลที่คนอื่นสู้ไม่ได้ และแหล่งข้อมูลขยายทุกวันๆ เลยทำให้เขามีลูกค้าและคนใช้เป็นจำนวนหลายล้านคน แต่ทาง Google มีความเห็นว่าที่ไม่ตอบโจทย์เพราะกว่า Yahoo จะให้คำตอบในแต่ละครั้งได้ใช้เวลานานเกิน ทาง Google มีความเห็นว่าคนที่จะใช้บริการ Yahoo หรือ Search Engine ไม่อยากเสียเวลาในการนั่งรอคำตอบ
Google เลยคิดโจทย์ใหม่ให้กระชับ เวลารอคำตอบให้สั้นและเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ถ้าได้คำตอบทันทียิ่งดี ปรากฏว่าเป็นการตอบโจทย์ของกลุ่มผู้ใช้จริงๆ จากเมื่อก่อนต้องใช้เวลาเป็นนาทีกว่าจะได้คำตอบ หลังมี Google ขึ้นมาปุ๊บ คำตอบมาทันทีที่ถาม เลยทำให้ Google ครองโลก Search Engine จนกลับกลายเป็นคำกริยาในตัว และทำให้อดีตว่าที่ยักษ์ใหญ่ Yahoo ต้องเล็กลงๆ และเหมือนเป็นเด็กวานซืนไปแล้ว ทำให้คนรุ่นใหม่ยุคนี้ ถ้า Google หายจากโลกขึ้นมา โลกจะหยุดหมุนทันที
ทำให้คดีฟ้องร้อง Google เป็นเรื่องน่าสนใจมาก เพราะมันเกี่ยวข้องกับเรื่องที่ Google ครองโลกได้ เป็นเพราะพรสวรรค์ของพวกเขา ดวงชะตาของพวกเขา หรือเพราะใช้เงินมหาศาลของตนเองกีดกันไม่ให้เจ้าอื่นแข่งขัน? ใช้เงินมหาศาลของตนเองฮั้วกับสินค้ายักษ์ใหญ่ (เช่น Apple) เพื่อเกิดระบบผูกขาด เรื่องราวเหล่านี้เป็นเรื่องที่ผมจะเขียนถึงในสัปดาห์หน้าครับ.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
Gisele Pelicot วีรสตรีของโลก
วันนี้ผมขออนุญาตเขียนเรื่องที่อาจสะเทือนใจ และสร้างความอึดอัดให้กับแฟนคอลัมน์หลายท่าน มันไม่ใช่เรื่องที่คนปกติจะนั่งพูดคุยกัน เป็นเรื่องสะเทือนใจ
สงครามที่โลกลืม…ปิดฉากไปแล้ว
มันแปลกจริงๆ ครับ ประมาณเกือบ 2 สัปดาห์ที่แล้ว อยู่ๆ ผมนึกถึงคอลัมน์ที่ผมเคยเขียน เรื่องเกี่ยวกับ “สงครามที่โลกลืม”
President Biden….You’re a Good Dad
ในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมามีสารพัดเรื่องที่น่าสนใจและน่าเขียนถึง เรื่องแรกต้องเป็นเรื่องประกาศกฎอัยการศึกในเกาหลีใต้ เพราะเป็นเรื่องไม่มีวี่แววว่าจะเกิดขึ้น และถือว่าเป็นการประกาศฟ้าผ่าทีเดียว
คุยเรื่อง…ที่ไม่ใช่เรื่อง
เผลอแป๊บเดียว วันนี้เราเข้าเดือนสุดท้ายของปีแล้ว ถือว่าเราเข้าฤดูกาลซื้อของขวัญสำหรับคริสต์มาสและปีใหม่อย่างเป็นทางการ ถึงแม้ตามห้างต่างๆ
'ศาลอาญาระหว่างประเทศ….มีไว้ทำไม?'
เมื่อวันพฤหัสฯ ที่ผ่านมา ศาลอาญาระหว่างประเทศ (International Criminal Court หรือ ICC) ได้ออกหมายจับนายกรัฐมนตรีอิสราเอล Benjamin Netanyahu
'BRO!!!!!'
เกือบ 2 สัปดาห์กับผลการเลือกตั้งในสหรัฐ ที่สร้างความประหลาดใจให้กับคนทั่วไป เว้นบรรดานักวิเคราะห์แม่นๆ….หลังผลออกมา พวกนี้ยังพูดเต็มปากเต็มคำว่า