ธนาคารแห่งประเทศไทยมองนโยบาย “ประชานิยม” ของรัฐบาลเศรษฐาอย่างไร เป็นประเด็นที่น่าสนใจยิ่งสำหรับคนไทยที่ต้องการได้รับทราบถึงแนวทางวิเคราะห์ที่รอบด้านและตรงไปตรงมา
รัฐบาลผสมที่มีพรรคเพื่อไทยเป็นแกนย่อมจะมองจากมิติการเมือง ที่ต้องการจะมี “ผลงาน” ให้เป็นที่ประทับใจของประชาชน
เรื่องง่ายๆ ที่เรียกว่า quick win จะทำก่อน เพราะเชื่อว่าจะสร้างความฮือฮาและเรียกเสียงชื่นชมจากชาวบ้านได้
ส่วนเรื่องยากๆ นั้นแม้จะมีความสำคัญและจำเป็น ก็มักจะถูกโยกไปอยู่ข้างหลังของวาระเร่งด่วน
แต่แบงก์ชาติในฐานะธนาคารกลาง มีหน้าที่หลักคือดูแลเรื่อง “เสถียรภาพ” ในภาพรวมของเศรษฐกิจประเทศ
ย่อมจะต้องวิเคราะห์ไปในแนวที่ยึดหลักวิชาการ และสมเหตุสมผลแห่งหลักเศรษฐศาสตร์ที่อธิบายกับประชาชนได้
ดังนั้นการ “แสดงความกังวล” ของธนาคารแห่งประเทศไทยต่อนายกรัฐมนตรีเศรษฐา ในกรณีที่จะทำนโยบายที่ต้องใช้งบประมาณมาก แต่ผลด้านบวกยังไม่แน่ชัดหรืออาจจะมีผลกระทบระยะยาวจึงมีความสำคัญ
คนไทยคาดหวังว่า ธนาคารกลางจะมีความกล้าหาญทางความเป็นมืออาชีพและจริยธรรม ที่จะโต้แย้งและคัดค้านรัฐบาลในกรณีที่เห็นว่านโยบายใดสวนทางกับความถูกต้องเหมาะสมตามหลักวิชาการ
สัปดาห์ที่ผ่านมา ดร.เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ได้บอกสื่อว่ามีโอกาสได้พบปะปรึกษาหารือกับนายกฯ และทีมงานที่เกี่ยวข้อง
และมีโอกาสได้แสดงความกังวลเหล่านั้นให้รัฐบาลใหม่ได้รับทราบ
ที่สำคัญคือ ดร.เศรษฐพุฒิไม่ได้เพียงแต่พูดกับนายกฯ และรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องเฉพาะในห้องประชุมเท่านั้น
แต่ยังรายงานต่อประชาชนผ่านสื่อว่าได้แสดงความกังวลและเสนอแนะไปอย่างไรบ้าง
ส่วนรัฐบาลจะทำตามหรือไม่เป็นเรื่องของรัฐบาลที่ต้องมีความรับผิดชอบต่อประชาชนเอง
แบงก์ชาติก็มีความรับผิดชอบต่อสาธารณชน ในฐานะเป็นองค์กรที่ต้องมีความเป็นอิสระ ปลอดจากแรงกดดันอันไม่เหมาะควรจากการเมืองเช่นกัน
สาระหลักๆ ที่ ดร.เศรษฐพุฒิบอกว่าได้แจ้งกับนายกฯ เศรษฐานั้น คือการแนะนำรัฐบาลว่าการจะแจกเงินดิจิทัลและพักหนี้เกษตรกรนั้นควรจะต้องทำแบบ “มุ่งเป้าเฉพาะกลุ่ม”
ไม่ควรใช้วิธีการเหวี่ยงแหที่ต้องใช้งบประมาณมหาศาล ซึ่งอาจจะมีผลทางลบที่ตามมาในระยะกลางและระยะยาว
ขณะที่รัฐบาลเน้นเรื่อง growth หรืออัตราเติบโตทางเศรษฐกิจ แต่ธนาคารกลางมีหน้าที่หลักในการให้ความสำคัญกับ stability and sustainability อันหมายถึงเสถียรภาพและความยั่งยืน
ผู้ว่าฯ แบงก์ชาติบอกว่า สิ่งที่พยายามย้ำในเรื่องนโยบายการเงิน คือขณะนี้ ธปท.ดำเนินนโยบายการเงินที่เรียกว่า Outlook Dependent คือการมองไปข้างหน้า
แม้ว่าในช่วงหลังเงินเฟ้อจะออกมาต่ำกว่าที่คาดไว้ แต่ ธปท.จะยังไม่มีการปรับทิศทางการดำเนินนโยบายการเงินแต่อย่างใด
ผู้ว่าฯ ธปท.บอกว่า ถ้าปรับนโยบายการเงินตามข้อมูลที่ออกมา นโยบายก็จะแกว่งไปแกว่งมาซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่ควรทำ
เพราะตอนนี้มี Noise ในตลาดเยอะแล้ว เราในฐานะผู้กำหนดนโยบาย เราไม่อยากจะไปเสริมและไปเพิ่ม Noise ในตลาด
“ผมจึงคิดว่านโยบายจึงควรมีความนิ่งระดับหนึ่ง โดยการมองไปข้างหน้า และอย่างที่ว่าบางทีข้อมูลออกมาในช่วงนี้ แต่ไม่ได้หมายความว่าข้างหน้าจะเปลี่ยนแปลงไป”
และเสริมว่า
“ตอนที่เรามองไปข้างหน้า ต้องบอกว่าตาม Outlook ยังไงๆ เงินเฟ้อก็มีแนวโน้มว่าน่าจะขึ้นอยู่ ถึงแม้ว่าจะมีนโยบายระยะสั้นอย่างที่ว่า (ลดค่าไฟฟ้าและราคาน้ำมันดีเซล) เพราะความเสี่ยงที่เราเห็นชัด”
อันแรกคือ ราคาพลังงานโลกที่เห็นสัญญาณว่าจะกลับขึ้นมา
ที่ห่วงค่อนข้างน่ากังวลอีกเรื่องคือ เอลนีโญ ที่จะมีผลกระทบต่อราคาอาหาร เนื่องจากราคาอาหารมีน้ำหนักในตะกร้า (เงินเฟ้อ) ค่อนข้างสูง
ดร.เศรษฐพุฒิชี้ว่า สภาวะเศรษฐกิจที่จะฟื้นตัวเช่นการท่องเที่ยว หากมีมาตรการกระตุ้นต่างๆ ไปเพิ่มแรงกดดันเงินเฟ้อในฝั่งอุปสงค์
ด้วยภาพที่เงินเฟ้อมันน่าจะขึ้น ธปท.จึงต้องดูนโยบายการเงินในรูปแบบที่สอดคล้องกับภาพระยะยาว สอดคล้องกับ Neutral สอดคล้องกับการเติบโตในระยะยาว เงินเฟ้ออยู่ในกรอบอย่างยั่งยืนที่ 1-3%
อีกทั้งต้องระวังไม่ไปสร้างความไม่สมดุลด้านการเงินต่างๆ
เช่นไม่ทำให้เกิดพฤติกรรม search for yield เหล่านี้เป็นประเด็นที่มีน้ำหนักในการพิจารณาว่าดอกเบี้ยควรเป็นอย่างไร
ที่ธนาคารกลางพยายามจะเน้นมาตลอด คือเรื่องการทำให้สถานการณ์กลับมาในภาวะ “ปกติ” หรือ normalize ให้ได้มากที่สุด
ซึ่งตอนนี้มันใกล้แล้ว
และจากเดิมที่เรียกว่า Smooth take off ให้มันฟื้นอย่างราบรื่น ให้โตได้อย่างต่อเนื่อง
ขณะนี้แบงก์ชาติขึ้นดอกเบี้ยแบบค่อยเป็นค่อยไป
แต่ช่วงหลังเรา “ถอดภาษา” นั้นออกไป
วันนี้โจทย์ถูกเปลี่ยนจากเรื่อง Smooth take off มาเป็นเรื่อง Landing คือการลงจอดอย่างราบรื่นเรียบร้อย ไม่มีอาการโหม่งพื้น
ณ วันนี้ผู้ว่าฯ ธปท.บอกว่าใกล้จะ Landing แล้ว
นั่นแปลว่าใกล้กับระดับดอกเบี้ยที่เหมาะสมแล้วกับภาพระยะปานกลาง
หรือที่เราเรียกว่า Neutral อันเหมาะกับภาวะเศรษฐกิจ
เมื่อถามว่า การดำเนินนโยบายการเงินของ ธปท.จะขัดแย้งกับนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลใหม่หรือไม่ ดร.เศรษฐพุฒิบอกว่าการทำนโยบายต่างๆ จะต้องคำนึงถึงว่าภาพรวมเศรษฐกิจจะเป็นอย่างไร
แต่เมื่อ ธปท.คิดว่าจะต้องดูแลเรื่องเงินเฟ้อระยะยาว จึงต้องคำนึงถึงการที่จะมีรายจ่ายภาครัฐที่จะเข้ามาเพิ่มเติมในเศรษฐกิจ
ซึ่งทำให้ ธปท.มั่นใจว่าเมื่อมองไปข้างหน้าแล้ว เงินเฟ้อจะเพิ่มขึ้นจากนโยบายการคลังที่จะออกมาด้วย
“โจทย์ของเรา (ธปท.) หน้าที่อะไรต่างๆ มันอยู่ในกฎหมายที่ต้องดูเรื่องเสถียรภาพ 3 ด้าน คือ เสถียรภาพราคา เสถียรภาพระบบสถาบันการเงิน และเสถียรภาพระบบการชำระเงิน เรื่องการดูแลพวกนี้ต้องทำตามกรอบ
ดร.เศรษฐพุฒิบอกว่า “ซึ่งการมีเสถียรภาพทางการเงินผมคิดว่าเป็นสิ่งที่ดี เป็นสิ่งจำเป็นทางเศรษฐกิจ และอยากจะขอย้ำว่าดอกเบี้ยบ้านเราไม่เหมือนกับที่อื่น เราใช้คำว่า Neutral ซึ่งต้องดูว่ามันสอดคล้องกับภาพระยะยาวของเราหรือเปล่า"
เขาอธิบายว่าที่ผ่านมา ธปท.พยายามเหยียบคันเร่งเยอะช่วงโควิด เหยียบค่อนข้างแรงเพราะดอกเบี้ยต่ำมาก
แต่ตอนนี้ถอนคันเร่งออก แต่ยังไม่ถึงขั้นเหยียบเบรก
เพราะถ้าเหยียบเบรก ดอกเบี้ยจะขึ้นไปมากกว่านี้ โดยต้องขึ้นเหมือนกับที่เห็นในต่างประเทศ ซึ่งขึ้นไปสูงกว่าระดับ Neutral
เพราะเขาต้องการชะลอเศรษฐกิจ เพื่อให้เงินเฟ้อลง
ที่แตกต่างเพราะเงินเฟ้อของประเทศเหล่านั้นมาจากฝั่งอุปสงค์ แต่บ้านเราเงินเฟ้อไม่ได้มาจากอุปสงค์เป็นหลัก แต่มาจากฝั่งอุปทานส่วนมาก
“จึงเป็นหน้าที่ของเราที่ต้องดูแลภาพรวมเงินเฟ้อ ไม่ให้การคาดการณ์เงินเฟ้อระยะยาวเริ่มหลุด” ดร.เศรษฐพุฒิระบุ.
(พรุ่งนี้: ธปท.เตือนรัฐบาลว่าอย่างไร?)
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
มีแม้วไม่มีเรา! วัดใจจุดยืน 'พรรคส้ม' หลังทักษิณขีดเส้นแบ่งข้างทุกเวทีแล้ว
นายสุทธิชัย หยุ่น สื่อมวลชนอาวุโส โพสต์เฟซบุ๊กว่า "พรรคส้มกล้าไหม? มีแม้วไม่มีเรา!
ประเทศเดียวในโลก ‘นายกฯทับซ้อน’ มหันตภัยปี 2568
นายสุทธิชัย หยุ่น สื่อมวลชนอาวุโส โพสต์เฟซบุ๊กว่าสำนักวิจัยต่าง ๆ กำลังวิเคราะห์เพื่อพยากรณ์ว่าประเทศไทยจะต้องเผชิญกับความท้าทายสาหัสอะไรบ้างใน
‘หยุ่น’ ฟันเปรี้ยงรอดยาก! ชั้น 14 ดิ้นอย่างไรก็ไม่หลุด
นายสุทธิชัย หยุ่น สื่อมวลชนอาวุโส โพสต์เฟซบุ๊กว่า เรื่องชั้น 14 จะดิ้นอย่างไรก็หลุดยาก จึงเห็นการเฉไฉ, ตีหน้าตาย
บิ๊กเซอร์ไพรส์ 'สุทธิชัย หยุ่น' เล่นซีรีส์ 'The White Lotus ซีซั่น 3'
เรียกว่าสร้างความเซอร์ไพรส์อย่างต่อเนื่อง สำหรับซีรีส์ The White Lotus ซีซั่น 3 ซึ่งจะสตรีมผ่าน Max ในวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2025 เพราะนอกจากจะมี ลิซ่า-ลลิษา มโนบาล หรือ ลิซ่า BLACKPINK ไอดอลเกาหลีสัญชาติไทย ที่กระโดดลงมาชิมลางงานแสดงเป็นครั้งแรก ในบทของ มุก สาวพนักงานโรงแรม
ถามแสกหน้า 'ทักษิณ' จะพลิกเศรษฐกิจไทยยังไง ทุกซอกมุมในสังคมยังเต็มไปด้วยทุจริตโกงกิน
นายสุทธิชัย หยุ่น นักวิเคราะห์ข่าวและผู้ดำเนินรายการข่าวชื่อดัง โพสต์เฟซบุ๊ก ถึงกรณีนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ว่า “เขาจะพลิกประเทศไทยให้เศรษฐกิจล้ำโลกได้หรือ
เขตเศรษฐกิจพิเศษชายแดนที่กลายเป็น ที่ซ่องสุมของอาชญากรรมข้ามชาติ
เมื่อวานเขียนถึงรายงานในสำนักข่าวชายขอบที่สำนักจะได้รับความสนใจของรัฐบาลไทยว่าด้วยกิจกรรมอาชญากรรมข้ามชาติในบริเวณ “เขตเศรษฐกิจพิเศษ” ที่สามเหลี่ยมทองคำ