รัฐบาลใหม่รู้ทันโลกใหม่หรือไม่?

ผู้นำเกือบทั่วโลกได้ส่งสาส์นแสดงความยินดีกับนายกฯเศรษฐา ทวีสิน...ไม่ว่าจะเป็นประธานาโจ ไบเดนหรือนายกฯหลี่ เฉียงของจีน

รวมถึงผู้นำเพื่อนบ้านในอาเซียนก็ได้ฝากความหวังดีมายังผู้นำใหม่ของไทย

เอกอัครราชทูตจีนประจำประเทศไทย หาน จื้อเฉียงได้เข้าพบคุณเศรษฐาและเชิญให้ไปเยือนจีนเพื่อจะได้พบปะกับประธานาธิบดีสี จิ้นผิง

ทั้งหมดนี้เป็นประเพณีทางการทูต และเป็นการให้เกียรติประเทศไทย

ไม่ว่าใครจะขึ้นมาเป็นนายกฯของไทย หากมาจากการเลือกตั้งของประชาชน และมิได้เป็นการเข้ามาด้วยวิธีการที่น่าสงสัย ก็ย่อมจะได้รับเกียรติจากนานาชาติเช่นนี้

แต่การจะทำให้เกิดเนื้อหาสาระแห่งการสานประโยชน์ระหว่างกันอย่างแท้จริงนั้นมีมากกว่าแค่ทักทายด้วยภาษาทางการทูตที่ไพเราะหอมหวานเท่านั้น

ท้ายที่สุด สาระแห่งนโยบายต่างประเทศของเราในการสร้างปฏิสัมพันธ์ที่เหมาะสม เสริมสร้างโอกาสสสให้แก่กันและกัน และการสร้างความรู้จักมักคุ้นเป็นส่วนตัวล้วนแล้วแต่มีความสำคัญทั้งสิ้น

หากรัฐบาลชุดนี้จะมีนโยบาย “การทูตเชิงรุก” อย่างเป็นรูปธรรม และมิใช่แอบอิงกับ นโยบาย “ลู่ตามลม” อย่างที่เราเคยเชื่อว่าเป็นหนทางแห่งความสำเร็จในอดีตของเรา

ก้าวแรกของผู้นำไทยในเรื่องนโยบายการต่างประเทศมีทั้งในเวทีต่างๆ ทั้งระดับทวิภาคี อนุภูมิภาค ภูมิภาคและระดับโลก

หากย้อนกลับไปดูนโยบายต่างประเทศที่คุณเศรษฐาเคยหาเสียงเอาไว้ ก็จะเน้นเรื่อง “เปิดประตูการค้า เสริมโอกาสการต่างประเทศ”

คุณเศรษฐาเคยประกาศว่าจะทำทุกอย่างเพื่อเรียกคืนเสถียรภาพทางการทูตให้ประเทศไทย

เพื่อเสริมความแข็งแกร่งและฟื้นฟูสิทธิมีเสียงในเวทีการเมืองโลก

คุณเศรษฐาบอกว่าตัวเองและตัวแทนรัฐบาลไทยจะเดินสายสร้างสัมพันธ์ทั่วโลกเพื่อเปิดประตูโอกาสให้ประเทศไทยมีโอกาสได้เพิ่มพื้นที่ในตลาดโลก

ที่สำคัญคือจะต้องพยายามชักชวนให้ต่างชาติมาลงทุนเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ

และเพื่อผลักดันให้การท่องเที่ยวมีโอกาสเติบโตขึ้นอย่างน้อย 2 เท่า

คุณเศรษฐาเคยประกาศว่าจะทำให้หนังสือเดินทางไทยมีพลังมากขึ้นและสามารถเดินทางได้ทั่วโลก

เพื่อทำให้คนไทยในฐานะพลเมืองโลกมีโอกาสเดินทางแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมจากทั่วโลกด้วยหนังสือเดินทางของประเทศไทย

นั่นย่อมแปลว่ารัฐบาลจะต้องสร้างความสัมพันธ์ระหว่างประเทศให้เข้มแข็งและหลากหลายมากขึ้น และเสริมอิทธิพลหนังสือเดินทางไทยเพื่อให้คนไทยเดินทางไปได้ทั่วโลกโดยไม่ต้องขอวีซ่า

แต่ทั้งหลายทั้งปวงนี้ หากจะเกิดขึ้นได้จริง และไม่ใช่เพียงแค่การสร้างภาพประชาสัมพันธ์เท่านั้นก็ต้อง “จัดบ้านให้เรียบร้อย” เสียก่อน

นั่นหมายถึงการต้องแก้ไขปรับปรุงกฎเกณฑ์กติกาของเราที่เกี่ยวกับการลงทุนต่างชาติ, การทำให้เกิด One Stop Service อย่างแท้จริง และการปราบปรามคอร์รัปชั่นในกระบวนการขอใบอนุญาตในการทำธุรกิจของคนไทยและคนต่างชาติ

เพราะแม้ว่านายกฯจะสามารถป่าวประกาศไปทั่วโลกว่าต้องการเปิดประตูประเทศไทยให้กว้างขึ้น และเราพร้อมจะ “ทำธุรกิจ” กับทุกคน แต่หากเขามาแล้ว ต้องเผชิญกับอุปสรรคนานาประการอย่างที่เคยประสบมา

ตรวจดูปฏิทินระดับโลกก็จะเห็นว่ามีเวทีการประชุมระดับผู้นำประเทศสำคัญ ๆ ที่ผู้นำไทยควรจะต้องแสดงจุดยืนของเราให้เป็นที่ประจักษ์

ที่พลาดไปแล้วก็คือการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียน 5-7 กันยายนที่ผ่านมาที่อินโดนีเซีย

แต่ข้อตกลงหลายประเด็นที่สำคัญและคงจะเป็นเรื่องที่กระทรวงต่างประเทศไทยเกาะติดเพื่อนำเสนอให้รัฐบาลใหม่ได้วางยุทธศาสตร์เพื่อผลักดันต่อไป

ที่โดดเด่นและละเอียดอ่อนที่สุดน่าจะเป็นเรื่องวิกฤตพม่าที่ผู้นำอาเซียนคนอื่น ๆ น่าจะต้องการจะรู้แนวทางของรัฐบาลใหม่ของไทยให้ชัดเจน

ว่าเหมือนหรือแตกต่างไปจากวิถีของรัฐบาลประยุทธ์ จันทรโอชาอย่างไร

เพราะอาเซียนย่อมจะจับตามาที่ไทยในฐานะเพื่อนบ้านที่สำคัญที่สุดของพม่า

ท่าทีและกิจกรรมของรัฐบาลไทยในเรื่องพม่าภายใต้การนำของพลเอกประยุทธ์และรัฐมนตรีต่างประเทศดอน ปรมัถต์วินัยมีทั้งที่ได้รับเสียงชื่นชมและวิพากษ์วิจารณ์ในหลายประเด็น

จึงจำเป็นที่รัฐบาลของนายกฯเศรษฐาต้องวิเคราะห์และนำเสนอต่อประชาชนคนไทยและเวทีระหว่างประเทศว่าก้าวย่างต่อไปของเราคืออย่างไร

หัวข้ออื่นในการประชุดสุดยอดผู้นำอาเซียนครั้งนี้ที่สำคัญไม่น้อยก็มีหลายเรื่อง

เช่นการจัดทำกรอบความตกลงเศรษฐกิจดิจิทัลของอาเซียน (DEFA) ตั้งเป้าจะเริ่มเจรจาปลายปีนี้ และให้แล้วเสร็จภายใน 2 ปี

มีการคาดหมายว่า DEFA จะช่วยเพิ่มมูลค่าการค้าด้านดิจิทัลในภูมิภาคอาเซียน สูงถึง 400-600 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ภายในปี 2030

อีกเรื่องหนึ่งที่สำคัญไม่น้อยคือการจัดทำยุทธศาสตร์ความเป็นกลางทางคาร์บอนซึ่งจะช่วยสร้างมูลค่าเพิ่มในเศรษฐกิจสีเขียวและสนับสนุนการเติบโตที่ยั่งยืนของภูมิภาค

อีกทั้งยังมีเรื่องการเร่งรัดดำเนินการตามแผนงานของเสาเศรษฐกิจ

เช่น จัดตั้งหน่วยงานสนับสนุนความตกลง RCEP

การใช้เอกสารรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าภายใต้ความตกลงการค้าสินค้าของอาเซียน หรือ e-Form D ในระบบศุลกากรอิเล็กทรอนิกส์ ณ จุดเดียวของอาเซียนอย่างเต็มรูปแบบทั้ง 10 ประเทศ ภายในปีนี้

งานยักษ์ระดับโลกครั้งแรกสำหรับนายกฯเศรษฐาก็คือการประชุมสมัชชาสหประชาชาติ (UN General Assembly) สมัยสามัญ ครั้งที่ 78 ระหว่างวันที่ 18-23 กันยายน

จะมีการหารือในเวทีคู่ขนานหลายเรื่องที่สำคัญ อาทิ การประชุมด้านการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDG Summit)

การประชุมระดับสูงด้านสุขภาพ (High-Level Meetings on Health)

และเวทีเป้าหมายการแก้ไขปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Ambition Summit)

จากนั้นก็จะมีการประชุมสมัชชาประเทศภาคีอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ หรือ COP 28 ที่เมืองดูไบ ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ระหว่างวันที่ 30 พฤศจิกายน-12 ธันวาคม 2566

คาดว่านายกฯเศรษฐาคงจะให้ความสนใจมากพอที่จะนำทีมไปร่วมประชุมเองอีกเช่นกัน

เพราะการประชุมครั้งนี้มีความคืบหน้าจากคราวก่อนในหลาย ๆ ด้าน

เชื่อกันว่าเวที COP 28 จะมีการพิจารณาหัวข้อสำคัญหลายประเด็น

ไม่ว่าจะเป็นการทำโปรแกรมลดผลกระทบเพื่อสนับสนุนการขับเคลื่อนการลดก๊าซเรือนกระจกให้บรรลุเป้าหมายตามความตกลงปารีส

อีกทั้งยังจะมีการหารือเป้าหมายและตัวชี้วัดด้านการปรับตัวฯที่เหมาะสม

รวมถึงการเชื่อมโยงกับอนุสัญญาว่าด้วยความหลากหลายทางชีวภาพ

ทั้งหมดนี้คือ “การบ้าน” ที่รัฐบาลไทยใหม่จะต้องวางแผน จัดระบบ วางยุทธศาสตร์ วางตัวคนทำงานและสร้างเครือข่ายการประสานงานทั้งในและต่างประเทศอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด

จึงจะตอบคำถามได้ว่า “รัฐบาลใหม่รู้ทันโลกยุคใหม่หรือไม่?”

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ประเทศเดียวในโลก ‘นายกฯทับซ้อน’ มหันตภัยปี 2568

นายสุทธิชัย หยุ่น สื่อมวลชนอาวุโส โพสต์เฟซบุ๊กว่าสำนักวิจัยต่าง ๆ กำลังวิเคราะห์เพื่อพยากรณ์ว่าประเทศไทยจะต้องเผชิญกับความท้าทายสาหัสอะไรบ้างใน

บิ๊กเซอร์ไพรส์ 'สุทธิชัย หยุ่น' เล่นซีรีส์ 'The White Lotus ซีซั่น 3'

เรียกว่าสร้างความเซอร์ไพรส์อย่างต่อเนื่อง สำหรับซีรีส์ The White Lotus ซีซั่น 3 ซึ่งจะสตรีมผ่าน Max ในวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2025 เพราะนอกจากจะมี ลิซ่า-ลลิษา มโนบาล หรือ ลิซ่า BLACKPINK ไอดอลเกาหลีสัญชาติไทย ที่กระโดดลงมาชิมลางงานแสดงเป็นครั้งแรก ในบทของ มุก สาวพนักงานโรงแรม

ถามแสกหน้า 'ทักษิณ' จะพลิกเศรษฐกิจไทยยังไง ทุกซอกมุมในสังคมยังเต็มไปด้วยทุจริตโกงกิน

นายสุทธิชัย หยุ่น นักวิเคราะห์ข่าวและผู้ดำเนินรายการข่าวชื่อดัง โพสต์เฟซบุ๊ก ถึงกรณีนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ว่า “เขาจะพลิกประเทศไทยให้เศรษฐกิจล้ำโลกได้หรือ

เขตเศรษฐกิจพิเศษชายแดนที่กลายเป็น ที่ซ่องสุมของอาชญากรรมข้ามชาติ

เมื่อวานเขียนถึงรายงานในสำนักข่าวชายขอบที่สำนักจะได้รับความสนใจของรัฐบาลไทยว่าด้วยกิจกรรมอาชญากรรมข้ามชาติในบริเวณ “เขตเศรษฐกิจพิเศษ” ที่สามเหลี่ยมทองคำ