ดิจิทัลวอลเล็ตเอาเงินมาจากไหน

ยังต้องจับตาเป็นพิเศษ สำหรับโครงการแจกเงินดิจิทัลวอลเล็ต 1 หมื่นบาทของพรรคเพื่อไทย ซึ่งหลายฝ่ายมีความกังวล โดยเฉพาะเรื่องของแหล่งที่มาของเงินที่จะนำมาใช้ในโครงการกว่า 5.6 แสนล้านบาท

คำถามคือ รัฐบาลจะเอาเงินจากไหนมาใช้รันโครงการอภิมหาประชานิยมแบบนี้ จนนำไปสู่การถกเถียง โดยเฉพาะเมื่อมองไปยังงบประมาณที่มีอยู่อย่างจำกัด หากไม่ใช้วิธีกู้เงินเพิ่ม ซึ่งต่อมามีข้อเสนอแนะมากมายจากกูรูหลายด้าน

อย่างล่าสุดที่อดีต กกต. สมชัย ศรีสุทธิยากร ออกมาโพสต์ถึงการหาแหล่งเงินที่จะมาใช้ในโครงการนี้ โดยระบุว่า หากรัฐจะหาเงินมาใช้โดยไม่ต้องกู้ สามารถใช้มติคณะรัฐมนตรี (ครม.) ในการตัดงบรายการประจำทุกหน่วยงาน across the board (ทุกกระทรวง) ประมาณร้อยละ 15-17 ก็น่าจะมีเงินมาแจกชาวบ้านได้ทันในเดือน ก.พ.2567

แต่ก็มีการตั้งคำถามตัวโตๆ ว่า แต่ละกระทรวงเขาจะว่าอย่างไร ยอมให้ตัดรายจ่ายประจำลงขนาดนี้หรือไม่พิสูจน์ความสามารถของ รมต.แต่ละกระทรวงแล้ว จะกล้าทุบไหม

พร้อมทั้งสำทับ หากทำได้จริงเท่ากับรัฐบาลเพื่อไทยทำให้ราชการทำงานมีประสิทธิภาพ เพราะลดงบประมาณร้อยละ 15-17 แล้วยังสามารถทำงานได้เท่าเดิม

นี่ก็เป็นเรื่องที่น่าคิดว่า ในเชิงการเมือง พรรคเพื่อไทยจะกล้าหั่นงบประจำของกระทรวงที่ตัวเองดูแลได้มากแค่ไหน และที่สำคัญจะกล้าไปหั่นงบกระทรวงที่เป็นโควตาของพรรคร่วมแค่ไหน

งานนี้ต้องจับตาดูกัน..ในช่วงของการจัดทำงบ 67 ปีนี้

อย่างไรก็ดี แนวทางของนายสมชัยก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่มีความเป็นไปได้ แต่ทางด้าน นายกฤษฎา จีนะวิจารณะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลังก็มีทางออกที่แตกต่างออกไป โดยระบุว่า รัฐบาลไม่จำเป็นต้องออกพระราชกำหนด หรือ พ.ร.ก.กู้เงินเพิ่มเติม ซึ่งหากพิจารณาในส่วนของ พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลัง มาตรา 28 ยังพอมีหลายช่องทางที่จะนำงบประมาณออกมาใช้ได้ โดยวงเงินปี 66 ยังเหลืออยู่ประมาณ 18,000 ล้านบาท เมื่อสิ้นปีงบประมาณแล้วจะมีตั้งงบใช้คืน 100,000 ล้านบาท สำหรับงบประมาณในปี 67 ต้องดูอีกครั้งว่าวงเงินเหลืออยู่เท่าไร ด้วยการเกลี่ยจากงบหลายส่วนที่ยังพอนำมาใช้รองรับเงินดิจิทัล

ขณะที่ บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด หรือ ASPS ระบุว่า แหล่งเงินที่จะใช้ในการดำเนินนโยบายอาจมาจาก 3 ส่วน ได้แก่ 1.การจัดสรรงบประมาณ สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) ระบุว่า แหล่งเงินน่าจะมาจากรายรับจากภาษีของรัฐบาลในปี 2567 การบริหารจัดการงบประมาณ และปรับสวัสดิการที่ซ้ำซ้อน 2 แสนล้านบาท การจัดเก็บภาษีที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นจากนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจอีก 1 แสนล้านบาท

2.การกู้เงินโดยประเทศไทยมีหนี้สาธารณะต่อ GDP อยู่ที่ 61.15% ซึ่งจะกู้เพิ่มได้อีก 1.58 ล้านล้านบาท โดยหลักการแล้วไม่ควรกู้จนเต็มเพดานหนี้ 3.กระทรวงการคลังอาจจัดสัดส่วนการถือหน่วยลงทุนในกองทุนวายุภักษ์ให้ กบข.-ประกันสังคมฝ่ายวิจัยฯ ประเมินว่าสามารถทำได้ ขณะที่กองทุนวายุภักษ์เป็นกองทุนที่มีขนาดใหญ่ มีมูลค่าพอร์ตอยู่ที่ 3.47 แสนล้านบาท รองรับเงินที่ใช้ในการกระตุ้นเศรษฐกิจตามนโยบายได้พอสมควร

เห็นได้ชัดว่า ในขณะนี้รัฐบาลพรรคเพื่อไทยยังพอมีออปชันในการเลือกหาแหล่งเงินมาใช้ในโครงการนี้พอสมควร แต่สุดท้ายแล้วจะเลือกแนวทางไหนคงต้องติดตามกันต่อไป

 และประชาชนทุกคนจะต้องช่วยกันติดตามด้วยว่า โครงการนี้จะตอบโจทย์ในการกระตุ้นเศรษฐกิจได้อย่างที่คาดหวังแค่ไหน และมีช่องโหว่ในการคอร์รัปชันหรือไม่ เพราะนี่คือเงินภาษีก้อนมหาศาล ที่อาจจะชี้ชะตาประเทศในอนาคตก็เป็นไปได้.

 

ลลิตเทพ ทรัพย์เมือง

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ปี68สินเชื่อระบบแบงก์ไทยหืดจับ

ปี 2568 ยังเป็นอีกปีที่ต้องจับตากับทิศทางของเศรษฐกิจไทย เพราะยังมีปัจจัยหลายอย่าง ทั้งบวกและลบ ที่จะเข้ามามีผลกับภาคเศรษฐกิจ โดยเฉพาะสถานการณ์กดดันจากปัญหาหนี้ครัวเรือน

แผนดัน ‘เกษตรครบวงจร’

อุตสาหกรรมเกษตร เป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมหลักของประเทศไทย และที่ผ่านมาเศรษฐกิจถูกขับเคลื่อนไปได้ด้วยสินค้าเกษตร แต่ก็มีบางช่วงที่ติดขัดและไม่สามารถเดินหน้าต่อได้ จากปัจจัยกระทบต่างๆ

เคาต์ดาวน์ปลอดภัยส่งท้ายปี

เทศกาลส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ 2568 เป็นช่วงเวลาแห่งความสุข เป็นวาระแห่งการเริ่มต้นใหม่ที่เปี่ยมไปด้วยพลังและความหวัง โดยในปีนี้สถานที่จัดงาน Countdown ทั่วประเทศไทยหลายหน่วยงานได้เตรียมกิจกรรมไว้ให้ทุกคนได้ร่วมสนุกและสัมผัสความงดงาม

แชร์มุมมอง‘อินฟลูเอนเซอร์’ในตลาดอาเซียน

การตลาดอินฟลูเอนเซอร์ถือได้ว่าเป็นกลยุทธ์สำคัญในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มายาวนาน แต่กลยุทธ์การทำการตลาดของแต่ละแบรนด์นั้นล้วนแตกต่างกันไป ล่าสุด วีโร่ ได้เปิดตัวเอกสารไวต์เปเปอร์ฉบับใหม่ในหัวข้อ “ผลกระทบ

ของขวัญรัฐบาล

อีกไม่ถึง 2 สัปดาห์ก็จะเข้าสู่ช่วงส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่แล้ว ก็เป็นธรรมเนียมของรัฐบาลและ ครม.ที่จะมีมาตรการเป็นของขวัญมอบให้กับประชาชน ซึ่งการประชุม ครม.ล่าสุดเริ่มมีการเคาะมาตรการต่างๆ ออกมาช่วยเหลือประชาชนกันแล้ว

ยกระดับธุรกิจไทยแข่งขันเวทีโลก

ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย หรือ EXIM BANK คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจไทยปี 2568 มีแนวโน้มขยายตัวที่ 3% ด้วยแรงขับเคลื่อนจากอุปสงค์ในประเทศที่ฟื้นตัวต่อเนื่องจากการใช้จ่ายภาครัฐ