'ลุง' ไป 'แม้ว' มา

รัฐบาลที่เล่นงานผู้เห็นต่างมากที่สุด

รัฐบาลที่คอร์รัปชันทุกหย่อมหญ้า

รัฐบาลที่ทำลายเศรษฐกิจของประเทศจนย่อยยับ

รัฐบาลที่ก่อปัญหาสังคมตามมามากมาย

แต่อยู่มาอย่างยาวนานถึง ๙ ปี

ช่างน่าเหลือเชื่อจริงๆ!

รัฐบาลที่ไม่มีอะไรดีเลย แต่อยู่ทำหน้าที่ในโลกสมัยใหม่ ที่ประชาชนเข้าถึงโซเชียล สามารถรับรู้ข้อมูลข่าวสาร ๒๔ ชั่วโมง มาถึง ๙ ปีได้อย่างไรกัน

น่าจะมีการศึกษาเปรียบเทียบ ประเทศที่มีผู้นำเป็นเผด็จการเบ็ดเสร็จสืบทอดอำนาจทั่้วโลก ทั้งในอดีตและปัจจุบัน เพื่อให้เห็นข้อเท็จจริงอันน่าประหลาดใจนี้

อยู่มาได้ไงถึง ๙ ปี

ถือเป็นความล้มเหลวของกระบวนการประชาธิปไตยในประเทศไทยหรือเปล่า 

หรือเผด็จการเข้มแข็งเกินไป

หรือแท้จริงแล้ว เป็น ๙ ปีที่มีการสร้างภาพลวงตา ให้รัฐบาลลุงตู่เป็นรัฐบาลเลวในสายตาประชาชน

เป็นรัฐบาลที่ไร้จริยธรรม

เห็นโผ ครม.เศรษฐา แล้ว นึกถึง ครม.ประยุทธ์ ๑ คือ ครม.ชุดแรกตั้งแต่เป็นเผด็จการทหารเต็มรูปแบบเมื่อปี ๒๕๕๗

กลายเป็นว่า ครม.ประยุทธ์ ๑ ประกอบไปด้วยรัฐมนตรีที่มีความน่าเชื่อถือ มีความรู้ ความเชี่ยวชาญในการบริหารราชการแผ่นดินมากกว่าโผ ครม.เศรษฐา

เรื่องจริยธรรม แทบไม่ต้องพูดถึงเลยครับ เพราะเทียบกันไม่ได้

ก็ต้องรอให้รัฐบาลเศรษฐาเป็นรูปเป็นร่าง บริหารประเทศไปสักปี ก็จะยิ่งเห็นความแตกต่างที่มากขึ้น

เห็นบอกว่างานแรกที่จะทำทันทีคือ รื้อค่าพลังงาน

ลดทันที ไฟฟ้า น้ำมันดีเซล ก๊าซหุงต้ม

ก็ท้าทายดีครับ รัฐบาลต้องการเงินไปทำโครงการยักษ์ แจกหัวละหมื่น แต่เริ่มต้นด้วยการลดรายได้ของรัฐเอง

ก็ยังไม่รู้ครับว่ารัฐบาลใหม่จะลดค่าพลังงานด้วยวิธีไหน

ลดจัดเก็บภาษี ลดค่าการตลาด หรือไปลดในส่วนไหน

ทุกทางแม้ประชาชนได้ประโยชน์ก็จริง แต่ล้วนกระทบรายได้รัฐเช่นกัน         

ต้องรอดูรายละเอียดจากรัฐบาลอีกทีครับว่า เป็นมาตรการระยะสั้น ๓-๔ เดือน หรือต่ออายุไปเรื่อยๆ

ที่สำคัญดูตัวเลขด้วยว่า รัฐแบกหนี้เดือนละเท่าไหร่

สมัยทักษิณติดลบ ๙.๒ หมื่นล้าน

รัฐบาลอภิสิทธิ์ ติดลบ ๒.๘๗ หมื่นล้าน

รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ติดลบ ๒ หมื่นล้าน

รัฐบาลประยุทธ์ ติดลบ ๑ แสนล้าน

จะเห็นว่าสถานะของกองทุนน้ำมันในปัจจุบัน อยู่ในขั้นสาหัส จากการอุ้มราคาน้ำมันดีเซลเป็นหลัก

สถานะติดลบแต่ละยุคแต่ละสมัย ขึ้นอยู่กับความผันผวนของราคาน้ำมัน

ในทางทฤษฎี ราคาน้ำมันที่อยู่ในช่วงขาขึ้นอย่างยาวนาน การที่รัฐบาลอุ้มราคาไปเรื่อยๆ ก็จะยิ่งพอกหนี้มากขึ้นเรื่อยๆ

ฉะนั้นรัฐบาลต้องใจแข็งครับ ต้องลดการอุดหนุนลง แล้วค่อยๆ ปล่อยให้ราคาน้ำมันเป็นไปตามกลไกตลาด

แน่นอนครับ ประชาชนไม่ชอบสิ่งนี้

เมื่อรัฐบาลเศรษฐาตัดสินใจเพิ่มการอุดหนุน แทนที่จะลดการอุดหนุน ก็ขอให้ทราบโดยทั่วกันว่า ประเทศจะเป็นหนี้เพิ่ม ซึ่งหมายถึงหนี้ของทุกคน

ก็ถือว่ารวดเร็วดีครับ ตั้งแต่ "เศรษฐา ทวีสิน" เป็นนายกฯ อะไรๆ ก็ดูจะผ่านไปว่องไวปานกามนิตหนุ่ม

เรื่องของ "ทักษิณ ชินวัตร" ก็ไว

จากคุกไปโรงพยาบาลตำรวจก็ไว

เรียกทนายไปคุยในห้องวีไอพีก็ไว มีชื่อ "พิชิต ชื่นบาน" โผล่มาเป็นรัฐมนตรีสำนักนายกรัฐมนตรี อย่างฉับไวไฟลามทุ่ง

เรื่องการขอพระราชทานอภัยโทษนี่ ก็ยิ่งไวราวกับติดจรวด

วานนี้ (๓๑ สิงหาคม) "วิษณุ เครืองาม" บอกว่าเรื่องขอพระราชทานอภัยโทษของ "ทักษิณ" ถึงมือเรียบร้อยแล้ว

มีคำพูดที่น่าสนใจของ "วิษณุ" อยู่ตอนหนึ่ง

"...คนที่ขอพระราชทานอภัยโทษทั่วไป ส่วนใหญ่จะอ้างถึงคุณงามความดี อาทิ คุณงามความดีในอดีตเคยทำอะไรมาบ้าง หรือคุณงามความดีในปัจจุบัน เช่น ขณะนี้ได้รับการเลื่อนโทษเป็นนักโทษดีเยี่ยม ได้สอนหนังสือในเรือนจำ เป็นต้น..."

ก็ไม่ทราบว่า ในหนังสือขอพระราชทานอภัยโทษของทักษิณนั้น ได้พูดถึงความดีความชอบอะไรเอาไว้บ้าง

หรือจะอธิบายถึงอาการป่วย ซึ่ง "วิษณุ" ยืนยันว่าป่วยจริง

ก็เอาเป็นว่าป่วยจริง

ไปดูว่าอาการทักษิณ เป็นอย่างไร

"วิษณุ" บอกว่า..

"...ถ้าผมยังพอมีเครดิตอยู่ ขอให้คำยืนยันว่าคุณทักษิณอยู่โรงพยาบาลจริง ออกจากเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ จริง หลังจากได้พักจนถึงเที่ยงคืน และคุณทักษิณป่วย ความดันขึ้นเกือบ ๒๐๐ มีกินยาสลายลิ่มเลือดและมีภูมิแพ้

ประกอบกับสลด หดหู่ใจ ทำให้อาการทรุดหนักลง แต่จะทรุดหนักขนาดไหน ผมไม่ทราบ และได้ส่งตัวไปโรงพยาบาล ซึ่งผมได้พูดกับนายแพทย์ใหญ่ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลตำรวจ ก็ฝากฝังให้ช่วยดูแลช่วงที่อยู่โรงพยาบาลตำรวจ ซึ่งอีกหน่อยก็เปิดให้คนอื่นไปเยี่ยม..."

ไม่รู้ว่าจะใช้เหตุผลนี้ประกอบด้วยหรือเปล่า

ฉะนั้น เมื่อราชทัณฑ์เสนอต่อรัฐมนตรียุติธรรม ซึ่งก็คือ "สมศักดิ์ เทพสุทิน" ก็เสนอต่อให้นายกฯ ซึ่ง "วิษณุ" ได้รับมอบหมายให้ดูแลเรื่องนี้

จากนี้ต้องจับตาดูว่า จะมีการทูลเกล้าฯ ถวายเป็นฎีกาต่อพระมหากษัตริย์ในรัฐบาลนี้ หรือรอให้รัฐบาลหน้ามารับไม้ต่อ

นับว่าเร็วกว่าที่คิดเอาไว้มาก.