ผมเป็นคนชอบอ่านหนังสือ ผมจะอ่านแนวนิยายเป็นหลักครับ อย่าหาว่าผมกระแดะ หัวสูง หรือดัดจริต แต่ผมจะสนุกกับการอ่านนิยายเป็นภาษาอังกฤษมากกว่าภาษาไทย ไม่ได้มีเหตุผลอะไรใดๆ ที่เหนือไปกว่าภาษาอังกฤษเป็นภาษาแรกของผม เลยอ่านง่ายกว่า แต่ไม่ใช่ว่าผมไม่เคยอ่านนิยายของไทยเลย ผมอ่านอยู่บ้าง แต่หลักๆ เป็นภาษาอังกฤษครับ
ผมอ่านได้ทุกอย่าง ขึ้นอยู่กับอารมณ์ จะอ่านแนวบู๊ ประวัติศาสตร์ โรแมนติก ฆาตกร ผี แฟนตาซี อะไรก็ได้หมดครับ อยู่ที่อารมณ์ช่วงนั้นจริงๆ ถ้าอ่านผ่านไปแล้วประมาณ 5-6 หน้า และยังรู้สึกอ่านยาก หรืออ่านไม่ลื่น หรือรู้สึกไม่สนุกนั้น ผมจะวางเล่มนั้นก่อน และหาเล่มใหม่มาอ่านแทน
แต่เดิมอ่านหนังสือเป็นเล่ม คือประเภทหนังสือที่อยู่ในมือและพลิกหน้าด้วยมือ หลังๆ ผมใช้ Kindle เพราะช่วงนั้นผมเดินทางบ่อยมาก ผมไม่รู้จะเอาหนังสือเล่มที่อ่านเสร็จแล้วไปทิ้งตรงไหน เพราะหลายเล่มไม่ได้เป็นเล่มที่อยากสะสมเก็บไว้ หลายครั้งผมก็เลยทิ้งไว้บนเครื่องให้กับผู้โดยสารคนต่อไป หรือแอร์ที่อยากอ่านหนังสือ แต่พอเป็น Kindle มันก็สะดวก เพราะเราสามารถโหลดหนังสือหลายร้อยเล่มไว้ในเครื่อง มันทั้งสะดวกและเบาเวลาเดินทางครับ
ผมก็เลยติด Kindle เป็นเวลาหลายปี จนกระทั่งไม่รู้ตัวว่า ลูกที่มองผมอยู่ เขาไม่รู้ว่าสิ่งที่ผมถืออยู่ในมือนั้นไม่ใช่เกม ไม่ใช่แท็บเล็ต แต่เป็นหนังสือ เพราะจากภายนอกเขาคงเห็นว่าเป็นสื่ออิเล็กทรอนิกส์ธรรมดา ที่ไม่ต่างกับมือถือ หรือสิ่งอื่นๆ ที่พวกเราเล่นกันอยู่ทุกวัน ทั้งๆ ที่ผมพยายามจะให้เขาเห็นจอว่าสิ่งที่พ่อถืออยู่เป็นหนังสือนะ
ในที่สุดเขาก็ยังคิดว่าเป็นแท็บเล็ตอยู่ดี ผมเลยตั้งใจค่อยๆ เปลี่ยนพฤติกรรมการอ่านของผม จาก Kindle กลับมาเป็นหนังสือที่เป็นเล่ม เพื่อให้เขาเห็นว่าเรา (ผมและภรรยา) อ่านหนังสือเป็นเล่มๆ เพื่อเป็นตัวอย่างให้เขาทำตาม เพราะถ้าเขาเห็นว่าเราเล่นมือถือ ดูแต่แท็บเล็ตอย่างเดียว เขาจะคิดว่าเป็นสิ่งที่เขาสามารถทำได้ตลอดเวลาเช่นเดียวกัน
เล่มแรกที่ผมกลับมาอ่านเป็นเล่มๆ เพื่อเป็นตัวอย่างและให้เขาเห็นชัดๆ คือ เรื่อง Les Miserables เขียนโดย Victor Hugo เป็นตัว Unabridged ซึ่งหมายความว่าเป็นเล่มที่ไม่กลั่นกรอง ไม่ตัดบท ไม่ย่ออะไรทั้งสิ้น Hugo เขียนอย่างไรในหนังสือเล่มนี้ ผมต้องอ่านอย่างนั้น เลยมีความหนา 1,400 กว่าหน้า แต่ผมก็อ่านครับ อ่านทุกเมื่อที่มีเวลาว่าง และอ่านให้ลูกเห็น
สำหรับใครที่ชอบอ่านหนังสือ ยิ่งหนังสือหนาๆ เป็นเล่มอยู่ในมือ มันรู้สึกภูมิใจ เวลาเห็นที่คั่นหนังสือของเราค่อยๆ ขยับตามหน้าหนังสือไปเรื่อยๆ ขยับจากอยู่ลำดับต้นๆ ไปอยู่กลางๆ กลายไปอยู่ท้าย เวลาอ่านหนังสือหมดเล่มมันรู้สึกดีทุกครั้ง
ที่ผมเล่าให้ฟังทั้งหมดนี้เป็นเพราะเรื่องที่ผมไม่เคยคิดจะอ่าน ไม่เคยสนใจ ผมหันมาอ่านครับ แล้วผมเลือกที่จะอ่าน เผื่อลูกอยากอ่านต่อ เนื่องจากตอนนี้เขาถึงอายุที่น่าจะอ่านหนังสือเป็นเล่มได้ (8 ขวบ) ส่วนอีกคนหนึ่ง (6 ขวบ) ผมกำลังให้เขาสนใจการอ่านหนังสือผ่านหนังสือการ์ตูน
เรื่องที่ผมเพิ่งจะหยิบขึ้นมาอ่านอย่างจริงจัง คือเรื่อง Harry Potter
ตอนที่ Harry Potter ออกใหม่ๆ เมื่อประมาณ 25 ปีที่แล้ว ผมเด็กกว่านี้แน่ๆ แต่ไม่เด็กพอที่จะสนใจเรื่องราวของ Harry Potter เพราะตอนนั้นผมอายุประมาณ 26-27 ปี ดังนั้นเรื่องราวของ Wizards กับ Magic มันเลยวัยที่ผมจะสนใจ ผมเลยไม่ใส่ใจ Harry Potter ไม่เคยดูหนังของเขา ไม่เคยอ่านหนังสือของเขา แล้วไม่ติดตามอะไรเลยเกี่ยวกับเขา แต่ไม่ใช่ไม่รู้ว่าเขาประสบความสำเร็จอย่างสูง ผมแค่คิดว่าเป็นเรื่องของเด็กๆ
ผมเคยพยายามดูหนังเรื่องแรกของเขา ดูไปแล้วหลับ เพราะผมไม่อินกับ Harry Potter แต่ไม่แน่ถ้าตอนนั้นผมแต่งงานมีลูก ผมอาจใส่ใจ Harry Potter ก็ได้ครับ
ที่ผมหยิบยก Harry Potter มาอ่านตอนนี้คือ อยากหาเรื่องที่ลูกผมสามารถอ่านได้ ถ้านึกถึงสมัยเด็กๆ สำหรับผู้หญิง วัยลูกสาวผมนั้น ผมจำเรื่องของ Nancy Drew ได้ พอพยายามหาตามร้านหนังสือ เหมือนมีความรู้สึกว่ามันเจาะจงกับชีวิตเด็กอเมริกันในยุคนั้นๆ เกินไป เลยไม่แน่ใจว่าลูกผมจะสนุกหรือไม่ ตอนอยู่ร้านหนังสือ ผมก็หยิบเรื่อง Charlotte’s Web เผื่อเขาจะสนใจ แต่ดูเหมือนเขาจะเฉยๆ เลยไม่บังคับ ในที่สุดเขาหยิบเรื่อง Willy Wonka and the Chocolate Factory ของเขาเอง
ที่ผมยังไม่อยากจะให้เขาอ่าน Harry Potter เป็นเพราะครั้งนี้จะเป็นหนังสือเล่มแรกที่เขาจะอ่านในชีวิตเขา เลยอยากให้เรื่องจบในตัว แล้วเอาเข้าจริง ผมไม่แน่ใจว่า Harry Potter จะแฟนตาซีเยอะเกินหรือไม่ ผมเลยต้องมาอ่านเองเพื่อเป็นการทดสอบ และสิ่งที่ผมภาคภูมิใจที่สุดคือระหว่างที่ผมอ่าน Harry Potter เล่มแรก ลูกสาวผมอ่าน Willy Wonka คู่ขนานกันไป และเพื่อให้เขามีความสนใจกับสิ่งที่เขากำลังอ่าน ผมจะให้เขาเล่าเรื่องในแต่ละบทให้พวกเราฟังก่อนนอน แลกเปลี่ยนกับผมเล่าเรื่อง Harry Potter ให้เขาฟัง
เลยกลับกลายเป็นว่า เขาใช้เวลา 1 เดือนเต็มในการอ่านเรื่อง Willy Wonka (ผมกับภรรยาผมภูมิใจมาก) ในขณะเดียวกัน ผมกำลังเข้าเล่มที่ 3 ในซีรีส์ Harry Potter โดยที่ผมจะสรุปเรื่องที่ผมอ่านให้เขาฟังเป็นบทๆ ก่อนนอน เลยทำให้เขา หยิบยก Harry Potter เล่มแรกมาเริ่มอ่านบ้าง และสิ่งที่สำคัญไปกว่านั้นคือ ทำให้น้องชายเขาอยากอ่านเหมือนกัน เพราะเขาเห็นทั้งพ่อ ทั้งแม่ ทั้งพี่สาว อ่านหนังสือเป็นเล่มๆ
ดังนั้นถ้าช่วงนี้มีใครเห็นผมไปไหนมาไหน และถือหนังสือ Harry Potter เป็นเพราะผมติดครับ ผมสนุกกับเรื่องราวของ Hogwarts แต่สิ่งสำคัญที่สุดคือ เล่มที่ผมถือจะกลายเป็นเล่มที่ลูกผมจะถืออ่านต่อไป เลยต้องพัก Kindle ของผมไว้สักพักใหญ่ครับ
สังคมไทยเราจะลุ้นเรื่องใครเป็นนายกฯ ผมขอลุ้นว่า Harry จะรอดพ้นจาก Prisoner of Azkaban อย่างไรมากกว่า.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
President Biden….You’re a Good Dad
ในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมามีสารพัดเรื่องที่น่าสนใจและน่าเขียนถึง เรื่องแรกต้องเป็นเรื่องประกาศกฎอัยการศึกในเกาหลีใต้ เพราะเป็นเรื่องไม่มีวี่แววว่าจะเกิดขึ้น และถือว่าเป็นการประกาศฟ้าผ่าทีเดียว
คุยเรื่อง…ที่ไม่ใช่เรื่อง
เผลอแป๊บเดียว วันนี้เราเข้าเดือนสุดท้ายของปีแล้ว ถือว่าเราเข้าฤดูกาลซื้อของขวัญสำหรับคริสต์มาสและปีใหม่อย่างเป็นทางการ ถึงแม้ตามห้างต่างๆ
'ศาลอาญาระหว่างประเทศ….มีไว้ทำไม?'
เมื่อวันพฤหัสฯ ที่ผ่านมา ศาลอาญาระหว่างประเทศ (International Criminal Court หรือ ICC) ได้ออกหมายจับนายกรัฐมนตรีอิสราเอล Benjamin Netanyahu
'BRO!!!!!'
เกือบ 2 สัปดาห์กับผลการเลือกตั้งในสหรัฐ ที่สร้างความประหลาดใจให้กับคนทั่วไป เว้นบรรดานักวิเคราะห์แม่นๆ….หลังผลออกมา พวกนี้ยังพูดเต็มปากเต็มคำว่า
“ถ้าไม่เลือกเรา...เขามาแน่”...ทำให้เขาชนะขาดลอย
ผมไม่แน่ใจว่ากว่าแฟนคอลัมน์จะได้อ่านบทความนี้ เรื่องที่ผมจะเขียนนั้นมันแห้งเกินไปหรือเปล่า เพราะกว่าจะถึงวันที่ได้อ่านบทความนี้ เรื่องนี้อาจจะเก่าไปแล้วก็ได้
ผมจะไม่แปลกใจถ้าTrumpชนะ….แต่ผมจะแปลกใจถ้าHarrisแพ้
อีกไม่กี่วันข้างหน้าจะได้รู้กันว่าใครจะเป็นผู้นำ “The Free World” ระหว่างอดีตประธานาธิบดี กับอดีตรองประธานาธิบดี