ต้องกลืนเลือด...กลืนน้ำลาย จึงจะไม่ตายนะ

คำคมที่บอกว่า “ก่อนพูด เราเป็นนายคำพูด แต่พอพูดแล้ว คำพูดจะเป็นนายเรา” มันเป็นสัจธรรมจริงๆ เลย ก่อนที่เราจะพูดเราเป็นคนกำหนดว่าเราจะพูดอะไร แต่พอเราพูดไปแล้วคำพูดที่เราพูดออกไปนั่นแหละจะเป็นตัวกำหนดการกระทำของเรา หากไม่ทำตามนั้นก็จะทำให้คนมองว่าเราโกหกตอแหล หรือเบาหน่อยก็คือเป็นคนไม่รักษาสัญญา การพูดอะไรออกไปก็เหมือนสาดน้ำ เมื่อสาดน้ำออกไปเอากลับคืนมาไม่ได้ฉันใด การพูดอะไรออกไปก็เอากลับคืนมาไม่ได้ฉันนั้น ถ้าหากจะทำอะไรที่ผิดคำพูดก็ต้อง “กลืนน้ำลาย” และถ้าหากจะต้องทำอะไรบางอย่างด้วยความจำเป็น ทั้งๆ ที่ไม่ชอบก็ต้อง “กลืนเลือด” ไม่เช่นนั้นชีวิตก็เดินหน้าไม่ได้ ในช่วงหาเสียงแต่ละพรรคสร้างวาทกรรม

และมีคำสัญญาต่างๆ มากมาย เมื่อเลือกตั้งเสร็จแล้วหลายอย่างที่สัญญาไว้ทำไม่ได้ ก็กลายเป็นพรรคที่โกหกหลอกลวงตอแหล ถือว่าเป็นพรรคที่ใช้ไม่ได้ ไม่น่าคบ เพราะทำทุกอย่างให้ได้คะแนน และคำสัญญาส่วนมากเป็นสิ่งที่ไม่สามารถทำได้

ถ้าหากรู้แล้วว่าทำไม่ได้ แต่ก็ยังใช้ในการหาเสียงหลอกให้คนลงคะแนน ก็ถือว่าเป็นพรรคที่ชั่วช้า ไม่มีจริยธรรม พรรคอย่างนี้จะให้มาบริหารประเทศคงไม่ได้ แต่ถ้าหากว่าสัญญาไปพล่อยๆ โดยไม่ได้ไต่ตรอง ก็ถือว่าชุ่ย ไร้เดียงสา ขาดประสบการณ์ หรือถ้าจะพูดแรงๆ ก็คือไม่มีสติปัญญาพอที่จะมาทำงานระดับชาติ แต่ก็ยังสะเออะจะเข้ามาทำ แบบนี้ ถ้าหากได้เป็นรัฐบาล ประเทศชาติคงจะต้องพินาศแน่ๆ ที่น่าตกใจก็คือมีประชาชนจำนวนหนึ่งหลงเชื่อวาทกรรมหลอกลวง หลงเชื่อคำสัญญาที่ไม่อาจจะเป็นจริง รวมทั้งหลงเชื่อเรื่องราวต่างๆ ที่พรรคการเมืองใช้ในการสร้างภาพว่าพวกเขาคือคนรุ่นใหม่ที่จะเข้ามาเปลี่ยนแปลงประเทศ โดยที่ไม่ได้สนใจเลยว่าการเปลี่ยนแปลงที่ว่านั้นมันมีรายละเอียดอย่างไร เปลี่ยนไปในทางพัฒนา หรือเปลี่ยนไปในทางเสื่อม

เวลานี้ การจัดตั้งรัฐบาลมีปัญหามาก คนจำนวนหนึ่งก็โทษว่าเป็นเพราะความพิกลพิการของรัฐธรรมนูญที่กำหนดให้ สว.มีส่วนร่วมในการลงคะแนนเห็นชอบหรือไม่เห็นชอบคนที่ สส.เสนอให้เป็นนายกรัฐมนตรี สำหรับคนจำนวนมาก เขามองว่าต้องขอบคุณ สว.ที่ใช้หลักการเรื่องความมั่นคงของประเทศและหลักจริยธรรมในการพิจารณาว่าจะเห็นชอบหรือไม่เห็นชอบให้ใครเป็นนายกรัฐมนตรี ถ้าหากไม่มี สว.ร่วมพิจารณาแล้ว เราจะได้นายกรัฐมนตรีแบบไหน นิสัยส่วนตัวเป็นอย่างไร นโยบายของพรรคเป็นอย่างไร ความสามารถในการบริหารประเทศเป็นอย่างไร เรื่องนี้เชื่อว่าวิญญูชนทั้งหลายย่อมมองออก และหลายคนก็ขอบคุณ สว.ที่ทำหน้าที่ตามที่รัฐธรรมนูญกำหนดได้อย่างเหมาะสม รักษาประเทศชาติเอาไว้ได้

คนที่โทษรัฐธรรมนูญ โทษ สว.นั้น เขาเคยคิดบ้างไหมว่าที่ตั้งรัฐบาลยากเวลานี้เป็นเพราะการพูดจาหาเสียงของพรรคต่างๆ จะเรียกว่าปากพาจนก็คงไม่ผิด ถ้าจะตั้งรัฐบาลให้ได้ หลายพรรคจะต้อง “กลืนน้ำลาย” คือไม่สามารถทำได้ตามที่พูดจาหาเสียงเอาไว้ หลายพรรคจะต้อง “กลืนเลือด” เพราะจำเป็นต้องทำบางอย่างที่ไม่อยากทำเลย แต่ถ้าไม่ทำ มันก็เดินหน้าไม่ได้ ตอนนี้หลายพรรคต้องหาคำอธิบายให้ประชาชนว่าทำไมต้อง “กลืนน้ำลาย” ทำตามสัญญาไม่ได้ และเมื่อต้องทำสิ่งที่ไม่อยากทำก็ต้องทำให้คนในพรรคเข้าใจว่าทำไมต้อง “กลืนเลือด” ถ้าไม่กลืน 2 กลืนนี้ก็ไปไม่รอด

  • วาทกรรม "มีลุง ไม่มีเรา ไม่ร่วมกับ 2 ลุง" สุดท้ายต้องร่วมกับลุง คงต้องมีคำอธิบาย เพราะพรรคที่ไม่เอา 2 ลุงก็หลุดไปเป็นนายกฯ ว่าวไปแล้วหนึ่ง
  • พูดชัดเจนว่า "ถ้าร่วมกับพลังประชารัฐ ผมลาออก” ถ้าจะไม่ลาออกก็คงต้องมีคำอธิบายให้ FC เข้าใจและยินยอมให้อยู่ต่อ ไม่มีตั้งคำถามใน Social Media ว่าจะออกเมื่อไหร่
  • ถูกถามว่าจะแก้ ม.112 หรือไม่ ตอบอย่างไม่ลังเลเลยว่า "จะแก้มาตรา 112" ตอนนี้จะขอเสียง สว.เป็นนายกรัฐมนตรี สว.อาจตั้งคำถามว่าเปลี่ยนใจแล้วจริงหรือเปล่า
  • แถลงชัดเจนว่า "ประชุมวาระแรก เสนอตั้ง ส.ส.ร.ร่างรัฐธรรมนูญใหม่ทั้งฉบับ" มันทำให้หลายฝ่ายเขากลัวนะว่าในการจะร่างรัฐธรรมนูญใหม่นั้นมีวาระซ่อนเร้นอะไรหรือไม่
  • เมื่อเคยบอกกับ FC ว่า "กระทรวงดีๆ ผมไม่ให้แม่งมันหรอก" แล้วใครเขาจะยอมร่วมรัฐบาลด้วยโดยไม่มีการตกลงแบ่งกระทรวงกันให้ชัดเจนก่อน ตอนนี้ต้องรู้แล้วใช่ไหมว่าอำนาจต่อรองอยู่ที่พรรคไหนบ้าง เมื่อรีบพูดเรื่องยึดกระทรวงออกไปแล้ว แต่คงจะทำอย่างที่ใจต้องการไม่ได้ เพราะถ้ายังไม่มีความชัดเจนเรื่องแบ่งกระทรวง คงไม่มีใครลงคะแนนให้
  • การที่จะบอกว่า "โหวดเลือกนายกฯ ก่อน แล้วค่อยพูดเรื่องแบ่งกระทรวงที่หลัง" พูดแบบนี้จะให้พรรคร่วมรัฐบาลเขาวางใจได้อย่างไร ยังไงก็ต้องตกลงกันก่อนไหม

เมื่อมาถึงจุดนี้ แล้วจะต้องจัดตั้งรัฐบาลให้ได้เพื่อให้ประเทศไทยเดินหน้าต่อไป ที่พูดอะไรไว้แต่จะทำไม่ได้ก็ต้อง “กลืนน้ำลาย” ส่วนหลายอย่างที่ไม่อยากทำแต่ต้องทำ ที่ไม่อยากยอมแต่ต้องยอม และหลายอย่างที่อยากทำคงไม่ได้ทำ เพื่อให้จัดตั้งรัฐบาลได้สำเร็จ เดินหน้าพัฒนาประเทศไทย ก็จะเป็นต้องยอม “กลืนเลือด” นะ ดังนั้นสิ่งที่สำคัญเวลานี้คือต้องหาเหตุผลในการจะอธิบายให้ FC ของทุกฝ่าย ไม่ว่าแดง เหลือง สลิ่ม หรือน้ำเงิน ให้เข้าใจว่าทำไมต้องยอม “กลืนน้ำลาย และกลืนเลือด” เพราะตอนนี้มีคนจำนวนหนึ่งที่เป็น FC ของทุกฝ่าย กำลังงอแงและแสดงความไม่สบายใจกับรัฐบาลสูตร Choc Mint ที่เป็นแนวทางของการหลุดจากกับดักความขัดแย้งสู่ความปรองดอง

สำหรับ พรรคเพื่อไทย จะต้องพูดคุยกันในพรรคให้ชัดเจนว่า ถ้าหากจะร่วมมือกันด้วยความสมานฉันท์ปรองดอง ต้องเลิกด่าทอส่อเสียดกัน อย่าพูดจาด้อยค่าพรรครัฐบาลที่รักษาการอยู่ตอนนี้เลยนะ มาหาคำอธิบายในการ “กลืนน้ำลาย” ให้ประชาชนที่เป็น FC เข้าใจและยอมรับให้ได้จะดีกว่า

แม้มีหลายเรื่องไม่ถูกใจคนในพรรคและ FC ในการไม่ได้ทำบางเรื่องที่อยากทำ และจำเป็นต้องทำบางเรื่องที่ไม่อยากทำ แต่เพื่อให้ประเทศเดินหน้าได้ก็ต้องยอม “กลืนเลือด” นะ ต้องทำให้คนในพรรคและ FC ทั้งหลายตระหนักว่าการเป็นรัฐบาลผสมจะให้ได้อย่างใจไปทุกเรื่องเป็นไปไม่ได้ อย่าเอาแต่ใจเหมือนด้อมส้มนะ ต้องรู้ว่าไม่มีพรรคไหนเป็นศูนย์กลางของจักรวาลที่พรรคอื่นๆ จะต้องมาโคจรตามข้อกำหนดของพรรคที่คิดว่าตัวเองเป็นศูนย์กลางของจักรวาล

ในเมื่อเราให้ความสำคัญกับความเป็นประชาธิปไตย เราต้องยอมรับและให้เกียรติกับคนที่คิดต่าง ถ้าหากเราไม่พอใจและคุกคามคนที่คิดต่าง เราคงไม่อาจจะเรียกตัวเองได้ว่าเราเป็นประชาธิปไตย การคุกคามคนอื่นที่คิดต่าง และจะต้องได้ทุกอย่างตามที่ตัวเองต้องการ นั่นแหละคือการเป็นเผด็จการโดยแท้ ดังนั้นจงพิจารณาสถานการณ์เวลานี้ เพื่อเข้าใจความจำเป็นของการ “กลืนเลือดและกลืนน้ำลาย” นะ ถ้าไม่ยอมให้มีการกลืนทั้ง 2 อย่างนี้ ประเทศไทยเดินหน้าไม่ได้ เราจะไม่รอดนะ ขอบอก.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

สับสนอลหม่าน แพทองธาร...พาลแพแตก

เราเคยทำนายไว้ว่าเมื่อนายกรัฐมนตรีที่ชื่อเศรษฐาพ้นจากการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนที่ 30 และได้แพทองธารมาเป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 31

โลกแห่งความเป็นจริงที่กำลังถูกกลืนกิน

ด้วยความก้าวหน้า-ก้าวไกลของเทคโนโลยีข้อมูล-ข่าวสาร ที่เตลิดเปิดเปิงไปถึงระดับ 5G-6G และไม่รู้จะอีกกี่ G ภายในอนาคตอันใกล้ แถมยังมีตัวเร่ง ตัวกระตุ้น

เก้าอี้ 'ผบ.ตร.' ชัด

อุ๊ย....อุ๊ย แม้ บิ๊กต่าย-พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รอง ผบ.ตร.จะปฏิเสธเสียงแข็งการเข้าพบ นายกฯ อุ๊งอิ๊ง-แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ไม่เกี่ยวกับการทาบทาม

เลือกผู้แทนกันยังไง...เมืองไทยจึงเป็นเช่นนี้

หลังจากรู้ผลการเลือกตั้งในคืนวันที่ 14 พฤษภาคม 2566 บ้านเมืองไทยก็ดูพิกลพิการ อยู่ในสภาพที่ไม่อาจจะเดินหน้าเพื่อการพัฒนาที่จะสร้างความเจริญก้าวหน้า

ว่าด้วยการ'ฟันธง'ของนักวิเคราะห์ทั้งหลาย

ถึงเคยคลุกคลีอยู่กับการ วิเคราะห์ การบ้าน-การเมือง มาร่วมกว่าๆ 2 ทศวรรษเห็นจะได้ แต่ด้วยอายุปูนนี้และด้วยสภาพแวดล้อมที่ทำให้ตัวเองใกล้ๆ