เมื่อจีนออกกฎหมายใหม่เป็น ‘อาวุธ’ ในศึกเวทีระหว่างประเทศ

‘อาวุธ’ ในศึกเวทีระหว่างประเทศ

จีนมีกฎหมายฉบับใหม่ว่าด้วย “ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ” ที่ให้ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง มีอำนาจกว้างขวางขึ้นกว่าเดิมหลายด้านอันเกี่ยวกับต่างชาติ

นั่นคืออำนาจเพิ่มเติมที่ครอบคลุมถึงสิทธิในการประกาศ "มาตรการตอบโต้" ต่อการกระทำที่ถือว่าเป็นภัยคุกคามต่อชาติ

ถือเป็นความพยายามครั้งล่าสุดของปักกิ่ง ที่จะเสริมสถานะของตนท่ามกลางความสัมพันธ์อันตึงเครียดกับตะวันตก

กฎหมายฉบับฉบับนี้เพิ่งผ่านการอนุมัติเมื่อสองสัปดาห์ที่ผ่านมา และมีผลบังคับใช้ตั้งแต่ 1 กรกฎาคมที่ผ่านมา

จะทำให้เห็นถึงมิติใหม่ของการเมืองระหว่างประเทศของจีน ที่เพิ่มความเข้มข้นในการตอบโต้และรุกคืบในเวทีระหว่างประเทศอย่างน่าติดตาม

จังหวะนี้มีความสำคัญต่อท่าทีของจีนในเวทีสากล เพราะกฎหมายฉบับนี้มีขึ้นในขณะที่จีนกำลังเผชิญหน้ากับอเมริกาในมิติใหม่

นั่นคือ มาตรการชุดใหม่ที่จะควบคุมการส่งออกของสหรัฐฯ ในสินค้าไฮเทคหลายรายการ

สะท้อนถึงความพยายามในการลดการพึ่งพาซัพพลายเออร์จากจีน ในภาคที่มีความละเอียดอ่อนต่อความสัมพันธ์ระหว่างสองยักษ์ใหญ่

ทั้งสองมหาอำนาจกำลังเข้าสู่ช่วงเวลาแห่งความหวาดระแวงที่ลุ่มลึกกว่าเดิม

เข้าสู่ภาวะความตึงเครียดซึ่งเป็นจุดตกต่ำในความสัมพันธ์ของทั้งสอง

แม้ว่ารัฐมนตรีต่างประเทศแอนโทนี บลินเกน และรัฐมนตรีคลังเจเนต เยลเลน จะไปเยือนจีนในเวลาใกล้ๆ กัน เพื่อแสดงถึงความพร้อมของวอชิงตันที่จะ “สมานแผล" ของความสัมพันธ์ระหว่างกัน แต่ปักกิ่งก็ยังมองว่าสหรัฐฯ ไม่มีความจริงใจในการปรับความเข้าใจกันอย่างเป็นรูปธรรม

เพราะขณะที่มีความพยายามทางการทูตเพื่อฟื้นฟูความสัมพันธ์ แต่ด้านการค้าและเทคโนโลยีก็ดูเหมือนว่า อเมริกายังไม่หยุดยั้งที่จะสกัดการพัฒนาอุตสาหกรรมด้านนี้ของจีน

กฎหมายใหม่ฉบับนี้เน้นย้ำถึงสิทธิของจีน “ที่จะใช้มาตรการรับมือและมาตรการจำกัดที่เกี่ยวข้อง” ต่อการกระทำที่ละเมิดกฎหมายและบรรทัดฐานระหว่างประเทศและครอบคลุมถึงการกระทำใดๆ ของชาติอื่นใดที่เข้าข่าย “เป็นอันตรายต่ออำนาจอธิปไตย ความมั่นคง และผลประโยชน์ด้านการพัฒนาของจีน”

นับเป็นการออกกฎหมายนโยบายต่างประเทศฉบับแรกของจีนที่กินความกว้างขวางอย่างนี้

ขณะที่สี จิ้นผิง ซึ่งเป็นผู้นำที่ทรงอิทธิพลที่สุดของประเทศในรอบหลายทศวรรษกำลังเดินหน้าผลักดัน ขยายอำนาจและอิทธิพลของจีนในเวทีโลก

ท่ามกลางความกังวลจากสหรัฐฯ และประเทศอื่นๆ เกี่ยวกับสิ่งที่ตะวันตกเรียกว่า “ความทะเยอทะยานของปักกิ่ง” และ

"นโยบายต่างประเทศที่เน้นเชิงรุกหนักขึ้น”

กฎหมายฉบับนี้ได้รับการอนุมัติโดยหน่วยงานที่มีอำนาจตัดสินใจสูงสุดภายในรัฐสภาของจีนเมื่อเร็วๆ นี้ โดยที่จ้าว เล่อจี้ ประธานสภาฯ กล่าวชื่นชมเนื้อหาของกฎหมายฉบับใหม่นี้ว่ามี “ความสำคัญอย่างยิ่ง” ในการปกป้องประเทศและสนับสนุน “การฟื้นฟูชาติ”

ตีความไม่ยากว่าเป็นการยกย่องวิสัยทัศน์ของสี จิ้นผิง ที่มีต่อจีนยุคใหม่ ที่ภาษาสื่อทางการจีนจะตอกย้ำว่า “ทรงพลังยิ่งใหญ่” เสมอ

สื่อทางการจีน Global Times เสริมว่า การผ่านกฎหมายใหม่ฉบับนี้เกิดขึ้น “ท่ามกลางความท้าทายใหม่ในความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ" โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อจีนต้องเผชิญกับการแทรกแซงจากภายนอกบ่อยครั้งในกิจการภายใน ภายใต้ความเป็นเจ้าโลกตะวันตกด้วยการคว่ำบาตรฝ่ายเดียว

ภาษาของนักวิชาการจีนตอกย้ำว่า ความเคลื่อนไหวใหม่ล่าสุดนี้คือการปูพื้นทางกฎหมาย เพื่อสร้างความเข้มแข็งให้กับการต่อสู้ทางการทูต เพื่อต่อต้านการคว่ำบาตร ต่อต้านการแทรกแซง

อีกทั้งยังเป็น “เครื่องมือทางกฎหมาย” เพื่อปกป้องผลประโยชน์ของชาติอย่างสำคัญ

หลายเดือนก่อนหน้าที่กฎหมายฉบับนี้จะถูกประกาศบังคับใช้ สหรัฐฯ ได้ขึ้นบัญชีดำบริษัทจีนด้วยข้อกล่าวหาว่ามีส่วนพัวพันกับการสนับสนุนรัสเซียในสงครามยูเครน

สหรัฐฯ ใช้วิธีการต่างๆ เพื่อกดดันพันธมิตรให้จำกัดการส่งออกเซมิคอนดักเตอร์ไปยังจีน

ตามด้วยการปลุกระดมประเทศเศรษฐกิจก้าวหน้าอื่นๆ ให้ร่วมตอบโต้ “การบีบบังคับทางเศรษฐกิจ” และ “การลดความเสี่ยง” ของห่วงโซ่อุปทานที่โยงกับประเทศจีน

ปักกิ่งออกมายืนยันว่านี่คือการโจมตีจีนโดยตรง และจีนย่อมจะไม่อาจนิ่งเฉยกับการ “รุกรานด้านเศรษฐกิจที่โยงกับความมั่นคง” อย่างโจ๋งครึ่มเช่นนี้

ตอนที่บลินเกนไปพบสี จิ้นผิง เมื่อต้นเดือนนี้ ผู้นำจีนแจ้งกับเขาว่าวอชิงตันต้องไม่ทำอะไรที่จะ “กระทบกระเทือนสิทธิและผลประโยชน์อันชอบธรรมของจีน”

และต้องหลีกเลี่ยงที่จะทำอะไรก็ตามที่จีนเห็นว่าเป็นการลิดรอน “สิทธิอันชอบธรรมในการพัฒนา”

ปักกิ่งประณามมาตรการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจของวอชิงตัน ซึ่งถูกนำมาใช้เป็นเครื่องมือในการดำเนินนโยบายต่างประเทศของสหรัฐฯ มาเป็นเวลานาน

และในปี 2564 จีนได้ออกกฎหมายต่อต้านการคว่ำบาตรต่างประเทศ ที่มีเป้าหมายเพื่อต่อต้านมาตรการในต่างประเทศที่บังคับใช้กับผลประโยชน์ของจีน

ในเดือนกุมภาพันธ์ ปักกิ่งคว่ำบาตรบริษัทกลาโหมสหรัฐฯ ล็อกฮีด มาร์ติน และเรย์ธีออน ที่เกี่ยวกับการขายอาวุธให้ไต้หวัน

ที่น่าสนใจอีกมิติหนึ่งก็คือ การออกกฎหมายฉบับนี้เท่ากับกำหนดให้การควบคุมความสัมพันธ์ระหว่างประเทศอยู่ในมือของพรรคอย่างชัดเจน

โดยกำหนดให้คณะกรรมการพรรคที่มุ่งเน้นการต่างประเทศเป็นผู้รับผิดชอบในการตัดสินใจดังกล่าว

กฎหมายฉบับนี้ระบุด้วยว่า จีนจะส่งเสริม “การเปิดกว้างระดับสูง” ของเศรษฐกิจ พัฒนาการค้าต่างประเทศ ส่งเสริมและคุ้มครองการลงทุนจากต่างประเทศอย่างถูกกฎหมาย

ในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา การรณรงค์ต่อต้านบริษัทที่ปรึกษาและการตรวจสอบสถานะธุรกิจได้ทำให้ธุรกิจต่างชาติในจีนตกใจ

หลี่ เฉียง นายกรัฐมนตรีจีน เน้นประเด็นคล้ายๆ กันนี้ในคำปราศรัยที่ประชุมสุดยอด World Economic Forum ในเมืองเทียนจินเมื่อเร็วๆ นี้....ระหว่างการเดินทางเยือนยุโรปเมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา

โดยวิพากษ์วิจารณ์ความพยายามของประเทศต่างๆ ในการ “ลดความเสี่ยง” ของห่วงโซ่อุปทานด้วยการลดการพึ่งพาจีนในบางภาคส่วน

จีนกังวลเมื่อมีความตึงเครียดกับสหรัฐฯ ซึ่งอาจกระทบเศรษฐกิจจีนเอง ปักกิ่งจึงได้หันมากระชับความสัมพันธ์กับยุโรป

โดยแสดงความสนิทสนมกับผู้นำยุโรปเพิ่มขึ้นเพื่อ “ซ่อมแซม” ความสัมพันธ์ที่ “แตกร้าว” เพราะจีนไม่ยอมประณามการรุกรานยูเครนของรัสเซียอย่างเปิดเผย

ดังนั้น จึงค่อนข้างชัดเจนว่ากฎหมายว่าด้วยความสัมพันธ์ระหว่างประเทศฉบับนี้คือการประกาศ “อาวุธ” ชุดใหม่ของจีน

อันจะเป็นเครื่องมือสำหรับต่อกรกับตะวันตกในสงครามการค้าที่โยงกับการเมืองและความมั่นคงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้!

 

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ประเทศเดียวในโลก ‘นายกฯทับซ้อน’ มหันตภัยปี 2568

นายสุทธิชัย หยุ่น สื่อมวลชนอาวุโส โพสต์เฟซบุ๊กว่าสำนักวิจัยต่าง ๆ กำลังวิเคราะห์เพื่อพยากรณ์ว่าประเทศไทยจะต้องเผชิญกับความท้าทายสาหัสอะไรบ้างใน

บิ๊กเซอร์ไพรส์ 'สุทธิชัย หยุ่น' เล่นซีรีส์ 'The White Lotus ซีซั่น 3'

เรียกว่าสร้างความเซอร์ไพรส์อย่างต่อเนื่อง สำหรับซีรีส์ The White Lotus ซีซั่น 3 ซึ่งจะสตรีมผ่าน Max ในวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2025 เพราะนอกจากจะมี ลิซ่า-ลลิษา มโนบาล หรือ ลิซ่า BLACKPINK ไอดอลเกาหลีสัญชาติไทย ที่กระโดดลงมาชิมลางงานแสดงเป็นครั้งแรก ในบทของ มุก สาวพนักงานโรงแรม

ถามแสกหน้า 'ทักษิณ' จะพลิกเศรษฐกิจไทยยังไง ทุกซอกมุมในสังคมยังเต็มไปด้วยทุจริตโกงกิน

นายสุทธิชัย หยุ่น นักวิเคราะห์ข่าวและผู้ดำเนินรายการข่าวชื่อดัง โพสต์เฟซบุ๊ก ถึงกรณีนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ว่า “เขาจะพลิกประเทศไทยให้เศรษฐกิจล้ำโลกได้หรือ

เขตเศรษฐกิจพิเศษชายแดนที่กลายเป็น ที่ซ่องสุมของอาชญากรรมข้ามชาติ

เมื่อวานเขียนถึงรายงานในสำนักข่าวชายขอบที่สำนักจะได้รับความสนใจของรัฐบาลไทยว่าด้วยกิจกรรมอาชญากรรมข้ามชาติในบริเวณ “เขตเศรษฐกิจพิเศษ” ที่สามเหลี่ยมทองคำ