เปลี่ยนขั้ว...สลับข้าง เปิดทางเดินให้ประเทศ

ชัดเจนแล้วว่ารัฐสภาไม่เห็นชอบให้พิธาเป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 30 ของประเทศไทย แต่เจ้าตัวบอกว่าวุฒิสมาชิกไม่ได้ลงคะแนนไปในทำนองเดียวกับประชาชน เขาก็คงจะหมายถึงประชาชนที่ลงคะแนนเลือกพรรคก้าวไกล 14 ล้านคน แล้ว ส.ว.เขาจะฟังประชาชนอีก 20 กว่าล้านคนที่ไม่ได้ลงคะแนนให้พรรคก้าวไกลบ้างไม่ได้หรือ พูดแบบนี้เหมือนกับว่าคนที่ไม่ได้เลือกพรรคก้าวไกลไม่ใช่ประชาชน แบบนี้เรียกว่าโมเม ทึกทัก ตีขลุม มั่ว มากเลยนะพ่อคุณ แถมยังพูดอีกนะว่า “ยอมรับ แต่ไม่ยอมแพ้” พูดแบบนี้ หมายความว่าต้องการให้มีการเสนอชื่อตัวเองอีกครั้ง การพูดเช่นนี้ ไม่เห็นแก่ตัวไปหน่อยเหรอ ถามพรรคเพื่อไทยเขาแล้วหรือยัง นี่เป็นการเลือกนายกรัฐมนตรีนะ จะให้เสนอชื่อตัวเองกี่ครั้ง ถึงจะตระหนักรู้ว่าคนไทยจำนวนมากเขาไม่ต้องการให้พรรคก้าวไกลเป็นรัฐบาล ด้วยเหตุผลอันใด คนในพรรคก้าวไกลน่าจะรู้ดี

ที่ผ่านมา พรรคเพื่อไทยเขารักษามารยาทมาโดยตลอดแล้วนะ ถึงเวลานี้เขาน่าจะมีความชอบธรรมในการเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล โดยที่จะต้องมีการเปลี่ยนขั้วสลับข้าง เพื่อเปิดทางให้ประเทศไทยได้เดินหน้า จะมาเล่นเอาเถิด เสนอชื่อพิธาอีกครั้งไปเพื่ออะไร จะแช่แข็งประเทศหรือไร แล้วถ้าลุงตู่ต้องรักษาการไปอีกนาน เพราะยังไม่มีรัฐบาลใหม่ อย่ามากล่าวหาว่าลุงตู่สืบทอดอำนาจ หน้าด้านไม่ยอมไปนะ ทุกอย่างเป็นไปตามกติกาที่กฎหมายกำหนดไว้

เมื่อได้ฟังการอภิปรายในวันที่ 13 กรกฎาคม 2566 ถ้าหากเพื่อไทยเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล แล้วยังมีพรรคก้าวไกลร่วมเป็นรัฐบาลด้วย ส.ว.ก็อาจจะงดออกเสียงอีกครั้งนะ เพราะ ส.ว.และ ส.ส.หลายพรรคมองว่าหากพรรคก้าวไกลมีอำนาจบริหารประเทศ อนาคตของประเทศน่าเป็นห่วง ทั้งเรื่องส่วนตัวของหัวหน้าพรรค และเรื่องนโยบายของพรรค ดังนั้นคงต้องถามกันชัดๆ ว่าถึงเวลาที่จะสลาย MOU ที่ลงนามกันไว้ แล้วสลับขั้วย้ายข้างกันได้แล้วยัง ที่ผ่านมาก้าวไกลต้องพึ่งเพื่อไทยในการจัดตั้งรัฐบาล แต่ถ้าหากเพื่อไทยจะเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล เพื่อไทยไม่จำเป็นต้องพึ่งก้าวไกลนะ เพราะข้อแม้ที่ก่อให้เกิดศัตรูทางการเมืองของเขาไม่มากเท่ากับเงื่อนไขของพรรคก้าวไกลที่แทบจะไม่เหลือใครเป็นเพื่อน แม้แต่พรรครวมไทยสร้างชาติก็ร่วมได้ เพราะไม่มีลุงตู่แล้ว ส่วนลุงป้อมนั้น พรรคเพื่อไทยไม่เคยตัดไมตรีมาก่อนเลย

การที่พิธาได้เสียง 324 เสียงนั้น ทำให้เราต้องมาคิดถึงคนที่เห็นชอบให้พิธาเป็นนายกรัฐมนตรี พวกเขาก่อนทำหน้าที่อันทรงเกียรติได้ปฏิญาณตนว่าจะทำหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต จงรักภักดีต่อชาติ ศาสน์ กษัตริย์ แต่พวกเขายังเห็นชอบให้หัวหน้าพรรคที่มีนโยบายเป็นปรปักษ์ต่อสถาบันพระมหากษัตริย์มาเป็นนายกรัฐมนตรี โดยอ้างว่าทำตามเสียงประชาชน (อ้าง 14 ล้านเสียง) ทั้งๆ ที่เสียงประชาชนที่เลือกพรรคนี้ เป็นแค่ 30% ของผู้มีสิทธิลงคะแนน มันไม่ใช่เสียงข้างมาก เพราะไม่ได้เกินกึ่งหนึ่ง แต่ก็มิวายอ้างการรวมเสียง 8 พรรคว่าได้มากกว่า 70% การที่รวมเสียง 8 พรรคได้ 70% ก็ไม่ได้ความว่า อีกจำนวนหนึ่งที่มารวมด้วย เขาอยากได้พิธาเป็นนายกรัฐมนตรีนะ ใครลงคะแนนเลือกพรรคใด เขาก็อยากให้หัวหน้าพรรคที่เขาเลือกเป็นนายกรัฐมนตรีกันทั้งนั้น อย่าทึกทัก อย่าโมเม อย่าตีขลุมเลยว่า ทั้ง 70% ของคนที่ไปลงคะแนนเลือกตั้งนั้น อยากให้พิธาเป็นนายกรัฐมนตรี

ในการให้เหตุผลว่าทำไมถึงลงคะแนนเห็นชอบให้พิธาเป็นนายกรัฐมนตรี ก็อ้างแต่ว่าเพราะพรรคก้าวไกลได้คะแนนเสียงมากกว่าพรรคอื่น (แต่ไม่ได้คิดต่อว่าจำนวน 14 ล้านเสียงนั้น ไม่ใช่เสียงข้างมาก ไม่ใช่ฉันทามติอย่างที่กล่าวอ้างกัน) อยากถามหน่อยนะว่าแล้วเสียงที่ไม่ได้เลือกพรรคก้าวไกลนั้น ไม่ใช่เสียงข้างมากของประชาชนหรือไร สนใจแต่ตัวเลขเชิงปริมาณ ไม่สนใจนโยบายที่น่าเป็นห่วงกันบ้างเลยหรือ อย่ามองแต่เชิงปริมาณ ควรจะมีการพิจารณาเชิงคุณภาพบ้าง จะได้เห็นกระจ่างขึ้น ลองเอานโยบายของพรรคก้าวไกลไปพินิจพิเคราะห์ดูให้ละเอียดบ้างเถอะ แล้วมองไปให้ไกลว่าถ้าหากพรรคก้าวไกลได้เป็นใหญ่ มีอำนาจในการบริหารบ้านเมือง จะมีอะไรเกิดขึ้นบ้าง สถาบันพระมหากษัตริย์จะเป็นเช่นไร นโยบายต่างประเทศจะทำให้ประเทศไทยเข้าสูวังวนของความขัดแย้งหรือไม่ ขนบธรรมเนียมประเพณีของประเทศอันเป็นวัฒนธรรมที่ดีงามของประเทศจะเป็นเช่นไร การใช้เสรีภาพของเด็กๆ จะเป็นเช่นไร การเงินการคลังของประเทศจะเป็นเช่นไร ถ้าหากไม่เคยไตร่ตรอง ไม่เคยศึกษา ขอให้ไปศึกษาดูก่อนที่จะลงคะแนนอีกครั้ง

การลงคะแนนที่ผ่านมา อยากถามว่าท่านไม่เคยเอานโยบายของพรรคก้าวไกลไปคิดพิจารณาเลย หรือท่าน ไม่สนใจที่จะคิด เพราะคิดเอาเองว่ามันไม่ใช่หน้าที่ จะออกเสียงตามเสียงข้างมากที่เป็นเชิงปริมาณเท่านั้น อายุก็มากกันแล้วนะ วุฒิภาวะน่าจะดีกว่านี้หรือเปล่า หรือว่าท่านได้เอานโยบายของพรรคก้าวไกลมาคิดพินิจพิเคราะห์แล้ว และท่านเห็นด้วยกับแนวนโยบายของพรรคก้าวไกล ถ้าเช่นนั้น เราก็ไม่ขอพูดอะไรแล้ว เพราะเราไม่อาจสรรหาคำที่ต่ำพอมาสาธยายพฤติกรรมของท่านได้ ที่เราเคยมองว่าท่านเป็นคนดี มีคุณธรรม มีจริยธรรม เราก็ขอมองใหม่ในทางตรงกันข้าม แต่อย่างไรก็ตามคนมีตำแหน่งอันทรงเกียรติอย่างพวกท่าน คงสูงเกินกว่าจะสนใจว่าใครรักหรือใครชังสินะ ถ้าสุวานเลขาของพญายมมีจริง ตอนนี้ชื่อของพวกท่านคงถูกจารึกไว้บนบัญชีหนังหมาแล้วนะ แต่ถ้านรกไม่มีอยู่จริงหลังความตาย พวกท่านก็คงตกนรกทั้งเป็น เพราะสายตาของผู้คนที่จำได้ว่าท่านลงคะแนนอย่างไร คงไม่มองหน้าท่านอย่างเป็นมิตรแน่ๆ

ถ้ามีเพื่อนที่มีความคิด มีทัศนคติเหมือนกับท่าน ก็จงรักษาไว้นะ เพราะเพื่อนของท่านที่มีความจงรักภักดีต่อชาติ ศาสน์ กษัตริย์ อาจกำลังคิดว่าจะเลิกเป็นเพื่อนท่านก็ได้นะ หรือว่าท่านจะบอกว่าท่านไม่สนใจว่าใครจะเป็นเพื่อนหรือไม่เป็นเพื่อนกับท่าน ก็เอาตามที่สบายใจก็แล้วกัน ส่วนพรรคการเมืองอีก 7 พรรคที่มาร่วมลง MOU ด้วยกันนั้น ท่านคงต้องเอาเรื่องราวของการอภิปรายในวันที่ 13 กรกฎาคม 2566 มาพิจารณาให้ดีนะ ว่าจะทำตามข้อตกลงใน MOU โดยเฉพาะเพื่อไทยเปลี่ยนขั้ว สลับข้างไหมคะ.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

สับสนอลหม่าน แพทองธาร...พาลแพแตก

เราเคยทำนายไว้ว่าเมื่อนายกรัฐมนตรีที่ชื่อเศรษฐาพ้นจากการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนที่ 30 และได้แพทองธารมาเป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 31

โลกแห่งความเป็นจริงที่กำลังถูกกลืนกิน

ด้วยความก้าวหน้า-ก้าวไกลของเทคโนโลยีข้อมูล-ข่าวสาร ที่เตลิดเปิดเปิงไปถึงระดับ 5G-6G และไม่รู้จะอีกกี่ G ภายในอนาคตอันใกล้ แถมยังมีตัวเร่ง ตัวกระตุ้น

เก้าอี้ 'ผบ.ตร.' ชัด

อุ๊ย....อุ๊ย แม้ บิ๊กต่าย-พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รอง ผบ.ตร.จะปฏิเสธเสียงแข็งการเข้าพบ นายกฯ อุ๊งอิ๊ง-แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ไม่เกี่ยวกับการทาบทาม

เลือกผู้แทนกันยังไง...เมืองไทยจึงเป็นเช่นนี้

หลังจากรู้ผลการเลือกตั้งในคืนวันที่ 14 พฤษภาคม 2566 บ้านเมืองไทยก็ดูพิกลพิการ อยู่ในสภาพที่ไม่อาจจะเดินหน้าเพื่อการพัฒนาที่จะสร้างความเจริญก้าวหน้า

ว่าด้วยการ'ฟันธง'ของนักวิเคราะห์ทั้งหลาย

ถึงเคยคลุกคลีอยู่กับการ วิเคราะห์ การบ้าน-การเมือง มาร่วมกว่าๆ 2 ทศวรรษเห็นจะได้ แต่ด้วยอายุปูนนี้และด้วยสภาพแวดล้อมที่ทำให้ตัวเองใกล้ๆ