ผมขอสารภาพและเปิดเผยว่า เรื่องที่ผมจะเขียนวันนี้ ถ้าผมต้องจัดลำดับเรื่องฝันร้ายของผม เรื่องนี้จะอยู่ลำดับต้นๆ เวลาผมดูหนังอะไรก็แล้วแต่ ฉากที่ทำให้ผมฝันร้ายที่สุดคือ ประเภทถูกฝังทั้งเป็น หรือน้ำกำลังเต็มจุดที่นักแสดงอยู่ ไม่มีทางออก และน้ำกำลังขึ้นเรื่อยๆ ไม่ว่าจะอยู่ในห้องบนเรือ หรืออยู่ในถ้ำ ฉากประเภทนี้แหละ ทำให้ผมเอาไปฝันร้าย แล้วทำให้ผมกลัว
ข่าวที่กำลังเกิดขึ้น (ณ เวลาที่ผมเขียนคอลัมน์ ซึ่งคือช่วงกลางสัปดาห์) เป็นเรื่องสยองขวัญของผม เป็นเรื่องที่ตอนแรกผมไม่อยากเขียน แต่เมื่อติดตามข่าวผมคิดเรื่องอื่นไม่ได้ กว่าแฟนคอลัมน์จะได้อ่านบทความนี้เรื่องที่ผมเขียนจะมีจุดจบที่ดีงาม หรือเป็นเรื่องไม่อยากคาดคิด นั่นคือเรื่องการหายตัวของเรือดำน้ำ Titan
เมื่อวันอาทิตย์ที่แล้ว Titan ได้ลงสู่ท้องทะเลเพื่อดูซากของ Titanic (เรือสำราญที่เคยจมเมื่อร้อยปีที่แล้ว) ถือเป็นการท่องเที่ยวอีกแบบหนึ่งสำหรับผู้ที่ชอบผจญภัย (และมีฐานะ) รอบหนึ่งในการ “ท่องเที่ยว” อยู่ที่ 250,000 เหรียญฯ ต่อคน และเป็นการ “ท่องเที่ยว” ทั้งหมด 8 วัน ซึ่งรวมถึงการเดินทางสู่ท้องทะเลด้วย
ในการจะลงไปดูซากเรือ Titanic ไม่ได้เป็นเรื่องง่ายครับ ไม่เหมือนนั่งเรือท้องกระจกดูปะการังเหมือนที่เราคุ้นเคยกัน อันนี้ต้องมีเรือดำน้ำพิเศษ เพราะความลึกของพื้นทะเลมันลึกกว่าที่เราเข้าใจเยอะ หรืออย่างน้อยเรือ Titanic เองอยู่ลึกกว่าที่ผมคิด เพราะตามรายงานข่าวบอกว่า จากผิวทะเลจนถึงระดับของ Titanic มันลึก 13,000 ฟุตครับ เมื่อปรับเป็นกิโล จะเท่ากับ 4 กิโล (!!!)
และสำหรับท้องทะเล ยิ่งลงลึกความกดดันยิ่งแรง จนไม่ง่ายที่จะลงน้ำลึกแบบเล่นๆ นะครับ แต่ Titan ถูกสร้างมาเพื่องานแบบนี้โดยเฉพาะ ก่อนอื่นเราต้องเข้าใจนิดหนึ่งว่า เรือดำน้ำโดยทั่วไปคือ Submarine อันนั้นเป็นเรือดำน้ำที่แท้จริง ถูกสร้างมาเพื่ออยู่ใต้น้ำเป็นเดือน และลงลึกได้โดยไม่มีปัญหา แต่ Titan ไม่ใช่ Submarine แต่จะเรียกว่า Submersible
Submersible มีขนาดเล็กกว่า Submarine เยอะ และไม่สามารถอยู่ใต้น้ำได้นานเท่า Submarine (ไม่ว่าจะขนาดเล็กหรือใหญ่นั้น) “เลี้ยง” และ “ดูแล” ตัวเองได้ หมายความว่า เขาปั่นไฟฟ้าดูแลตัวเอง และไม่ต้องพึ่งพาพลังอื่นภายนอกขับเคลื่อนเขา แต่ Submersible ไม่ใช่ครับ
Submersible ต้องมีเรือขนาดใหญ่เป็น “พี่เลี้ยง” ในการควบคุมและขนเครื่องปั่นไปตามจุดต่างๆ สู่กลางทะเล พูดง่ายๆ ครับ อยู่ๆ Titan จะออกจากท่าเรือและล่องทะเลไปถึงซาก Titanic เป็นไปไม่ได้ เพราะเขาไม่มีขนาดและพลังพอทำได้ แต่ Submarine ทำได้ครับ
สิ่งสำคัญคือ Submarine มีถังออกซิเจนอยู่บนเรือ เลี้ยงลูกเรือเป็นร้อยได้เป็นเดือนครับ แต่ Submersible มีถังออกซิเจน ทั้งถังจริงและถังสำรอง เป็นเวลาเต็มที่กว่า 100 ชั่วโมง ส่วนขนาดของ Submersible ยิ่งเฉพาะตัว Titan มีขนาดเล็กกว่าเรือดำน้ำแบบเทียบไม่ได้ Titan จะมีขนาดเหมือนรถบัสคันหนึ่ง แต่เนื้อที่ข้างในที่ผู้โดยสาร “นั่ง” ลดเหลือขนาดรถตู้ แต่สิ่งสำคัญคือ การขับ Titan เหมือนใช้อุปกรณ์เล่นเกมครับ พอลงใต้น้ำไม่มีระบบ GPS บนเรือ ไม่มีพวงมาลัย ไม่มีวิทยุ ไม่มี Sonar เพื่อบังคับเรือหรือบอกตำแหน่งได้ มีแต่ส้วมในมุมหนึ่ง (แบบนั่งยองๆ) และหน้าต่างหรือกระจกหนาๆ เพื่อดูดซากของ Titanic (ผู้โดยสารต้องนั่งพื้นเพราะไม่มีเก้าอี้) ส่วนวิธีการบังคับ Titan คือ ต้องให้เรือ “พี่เลี้ยง” ส่งข้อความเป็น text ให้คนบังคับเรือ ให้ไปซ้ายไปขวาได้
ในการดำน้ำแต่ละครั้งจะใช้เวลาทั้งหมดประมาณกว่า 10 ชั่วโมง จากพื้นทะเลไปถึงซาก Titanic ต้องใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมงกว่าจะถึง และใช้เวลาประมาณ 2-4 ชั่วโมงในการชมซากให้เต็มที่
แต่ปัญหาในครั้งนี้คือ หลังจากที่ Titan ลงน้ำไปประมาณ 1 ชั่วโมงกับ 45 นาที Titan ขาดการติดต่อจากเรือพี่เลี้ยง (เรือชื่อ Polar Prince) โดยไม่มีใครทราบว่ามีอะไรเกิดขึ้นกับ Titan และสิ่งสำคัญคือ Titan อยู่ตรงไหน
พอ Titan ขาดการสื่อสาร และสันนิษฐานกันว่า “หายไป” ทาง Polar Prince รีบแจ้งตามหน่วยงานกู้ภัยของทั้งสหรัฐอเมริกาและแคนาดา เพื่อขอความช่วยเหลือ และตั้งแต่วันอาทิตย์จนถึงวันที่ผมเขียนคอลัมน์ (กลางสัปดาห์) หน่วยกู้ภัยเหล่านี้พยายามหา Titan กันอย่างเต็มที่ ตามรายงานบอกว่าออกซิเจนในถังน้อยลงทุกที และไม่ว่า Titan จะอยู่ใต้น้ำ พื้นทะเล หรือลอยอยู่กลางทะเล เนื่องจากประตูเปิดปิดจากข้างนอก ถ้าเขาลอยอยู่กลางทะเลเขาก็ยังไม่ปลอดภัยครับ เพราะเขาไม่สามารถเปิดประตูจากข้างในได้
แต่ข่าวล่าสุดคือ ยังมีความหวัง เพราะผู้โดยสาร Titan (ทั้งหมด 5 ราย) ยังมีชีวิตอยู่ จากการสำรวจใต้น้ำผ่าน Sonar เขาได้ยินเสียงเคาะเป็นระยะๆ เพียงแต่ว่าไม่รู้เสียงเคาะนั้นอยู่ตรงไหน
ผมเขียนแค่นี้ แฟนคอลัมน์ทุกท่านคงเข้าใจความสยองของเรื่อง มันเป็นฝันร้ายที่ยิ่งกว่าเรื่องในหนัง เพราะนี่คือชีวิตจริง และกำลังเป็นเหตุการณ์ที่เกิดท่ามกลางความสนใจของคนทั่วโลก ไม่ต่างไปจากทีมหมูป่าที่ติดในถ้ำ เป็นเหตุการณ์ที่พวกเราไม่คิดไม่ฝันว่าจะเกิดขึ้นได้ แต่เมื่อมันเกิดขึ้นมา ไม่อยากคิดเลยว่าถ้าเราอยู่ในเหตุการณ์จะเป็นเช่นไร
เรื่องแบบนี้ทำให้เราต้องหยุดชะงักสักนิดหนึ่ง เมื่อเราเจอแต่เรื่องที่คิดว่าเป็นเรื่องสำคัญ เช่น ใครจะเป็นประธานสภาฯ เอย ใครจะเป็นนายกฯ เอย นักเรียนอยากเรียนหนังสือหรือไม่เอย พอเจอเรื่อง Titan หวังว่าจะทำให้เห็นว่าโลกใบนี้มีเรื่องสำคัญกว่า และใหญ่กว่าเรื่องที่อยู่ใกล้ตัว
ผมไม่รู้จะวางตัวอย่างไรเรื่อง Titan เพราะเรานั่งอยู่ตรงนี้ และช่วยอะไรเขาไม่ได้ และเอาเข้าจริง ผมไม่อยากติดตามรายละเอียดของเรื่องนี้มากนัก เพราะพูดตรงๆ...ผมกลัว แต่ไม่อยากเพิกเฉยเรื่องนี้ เหมือนมันไม่มีอะไรเกิดขึ้น เพราะมันคือชีวิตคน และคนทั่วโลกอยากให้ 5 คนนี้มีชีวิตต่อ คงไม่ผิดหรอกถ้าผมพูดว่า ใจของคนเกือบทั้งโลกอยู่ที่เรื่องนี้ และทุกคนไม่รู้จะวางตัวอย่างไร เพราะช่วยอะไรพวกเขาไม่ได้.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
President Biden….You’re a Good Dad
ในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมามีสารพัดเรื่องที่น่าสนใจและน่าเขียนถึง เรื่องแรกต้องเป็นเรื่องประกาศกฎอัยการศึกในเกาหลีใต้ เพราะเป็นเรื่องไม่มีวี่แววว่าจะเกิดขึ้น และถือว่าเป็นการประกาศฟ้าผ่าทีเดียว
คุยเรื่อง…ที่ไม่ใช่เรื่อง
เผลอแป๊บเดียว วันนี้เราเข้าเดือนสุดท้ายของปีแล้ว ถือว่าเราเข้าฤดูกาลซื้อของขวัญสำหรับคริสต์มาสและปีใหม่อย่างเป็นทางการ ถึงแม้ตามห้างต่างๆ
'ศาลอาญาระหว่างประเทศ….มีไว้ทำไม?'
เมื่อวันพฤหัสฯ ที่ผ่านมา ศาลอาญาระหว่างประเทศ (International Criminal Court หรือ ICC) ได้ออกหมายจับนายกรัฐมนตรีอิสราเอล Benjamin Netanyahu
'BRO!!!!!'
เกือบ 2 สัปดาห์กับผลการเลือกตั้งในสหรัฐ ที่สร้างความประหลาดใจให้กับคนทั่วไป เว้นบรรดานักวิเคราะห์แม่นๆ….หลังผลออกมา พวกนี้ยังพูดเต็มปากเต็มคำว่า
“ถ้าไม่เลือกเรา...เขามาแน่”...ทำให้เขาชนะขาดลอย
ผมไม่แน่ใจว่ากว่าแฟนคอลัมน์จะได้อ่านบทความนี้ เรื่องที่ผมจะเขียนนั้นมันแห้งเกินไปหรือเปล่า เพราะกว่าจะถึงวันที่ได้อ่านบทความนี้ เรื่องนี้อาจจะเก่าไปแล้วก็ได้
ผมจะไม่แปลกใจถ้าTrumpชนะ….แต่ผมจะแปลกใจถ้าHarrisแพ้
อีกไม่กี่วันข้างหน้าจะได้รู้กันว่าใครจะเป็นผู้นำ “The Free World” ระหว่างอดีตประธานาธิบดี กับอดีตรองประธานาธิบดี