โมดีเหยียบวอชิงตัน: เมื่อมะกัน เอาใจอินเดียต้านจีนในเอเชีย

จับตาการเยือนสหรัฐฯ ของนายกฯ นเรนทรา โมดี ของอินเดียสัปดาห์นี้ให้ดี เพราะเป็นความเคลื่อนไหวการเมืองระหว่างประเทศที่จะมีผลกระทบต่อดุลแห่งมหาอำนาจจีนและสหรัฐฯ อย่างสำคัญ

การเยือนวอชิงตันของโมดีครั้งนี้ นักวิเคราะห์บางคนเรียกมันว่าเป็นจังหวะ “ประวัติศาสตร์"

ที่น่าสนใจเป็นพิเศษคือ จะมีการพูดถึงความร่วมมือด้านกลาโหมใหม่ระหว่างสองประเทศนี้อย่างเป็นรูปธรรม

มองอีกมุมหนึ่งก็อาจจะถูกตีความได้ว่า สหรัฐฯ กับอินเดียกำลังส่งเสริมความสัมพันธ์ทางทหารเพื่อถ่วงดุลคู่แข่งอย่างจีน

ความจริงโมดีเดินทางไปสหรัฐฯ หลายครั้งตั้งแต่เข้ารับตำแหน่งในปี 2014

แต่ครั้งนี้มีความหมายพิเศษในหลายมิติ

การเยือน 3 วันตั้งแต่เมื่อวานเป็นวาระอย่างเป็นทางการครั้งแรกของผู้นำอินเดีย นับตั้งแต่การมาเยี่ยมของอดีตนายกรัฐมนตรีมานโมฮัน ซิงห์ เมื่อปี 2009 ในสมัยรัฐบาลบารัค โอบามา

ก่อนออกจากบ้าน โมดีปูทางด้วยการบอกว่าการไปเยือนอเมริกาอย่างเป็นทางของเขาเป็น "ภาพสะท้อนของพลังและความมีชีวิตชีวาของการเป็นหุ้นส่วนระหว่างระบอบประชาธิปไตยของเรา"

โดยเสริมว่าทั้งสองประเทศกำลัง "ร่วมมือกันเพื่อส่งเสริมวิสัยทัศน์ร่วมกันของเราเกี่ยวกับอินโด-แปซิฟิกที่เสรี  เปิดกว้าง และครอบคลุม"

และย้ำในแถลงการณ์ว่า "เรายืนหยัดอย่างแข็งแกร่งในการรับมือกับความท้าทายระดับโลกที่มีร่วมกัน"

แอนโทนี บลิงเกน รัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ กล่าวกับสภาธุรกิจสหรัฐฯ-อินเดียในเดือนนี้ว่า การเยือนของโมดีถือเป็น "ประวัติศาสตร์" และจะ "ตอกย้ำสิ่งที่ประธานาธิบดีไบเดนเรียกว่า 'ความสัมพันธ์ที่กำหนดทิศทาง' ของศตวรรษที่ 21"

ต้นเดือนนี้เอง รัฐมนตรีกลาโหมสหรัฐฯ ลอยด์ ออสติน บินไปอินเดียเพื่อพูดคุยกับรัฐมนตรีกลาโหมอินเดีย ราชนัธ สิงห์ เพื่อยกร่างข้อตกลงด้านกลาโหมที่จะให้ระดับผู้นำทั้งสองคุยกันที่ทำเนียบขาวในสัปดาห์นี้

สหรัฐฯ กับอินเดียถือเป็นสองประเทศที่เป็นประชาธิปไตยที่ใหญ่ที่สุดในโลก

และเป็นสมาชิกของ “จตุภาคี” Quad อันเป็นกลุ่มความมั่นคงเชิงยุทธศาสตร์ที่รวมถึงญี่ปุ่นและออสเตรเลียด้วย

เป็นกลุ่มด้านความมั่นคงที่พยายามส่งเสริมความร่วมมือในอินโด-แปซิฟิก ที่เห็นได้ชัดว่ามีเป้าหมายเพื่อจำกัดอำนาจทางเศรษฐกิจและการทหารในภูมิภาคที่กำลังเติบโตของจีน

ข้อตกลงที่คาดว่าโมดีจะสรุปในการมาเยือนอเมริกาครั้งนี้ จะเกี่ยวกับข้อตกลงด้านความมั่นคงใหม่ รวมถึงความร่วมมือระหว่าง General Electric Co. และ Hindustan Aeronautics ของอินเดีย เพื่อผลิตเครื่องยนต์ร่วมกันสำหรับเครื่องบินขับไล่ Tejas ที่ผลิตขึ้นเองในอินเดีย

ยังมีความเป็นไปได้ที่จะมีข้อตกลงให้อินเดียซื้อโดรนติดอาวุธที่ผลิตโดยบริษัท General Atomics ในแคลิฟอร์เนีย

ทั้งนี้เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการสอดแนมของอินเดียเอง

โดยเฉพาะอย่างยิ่งตามแนวชายแดนหิมาลัยที่มีข้อพิพาทกับจีน ซึ่งเป็นฉากการปะทะกันระหว่างทหารจีนและอินเดียเมื่อสามปีก่อนหน้านี้

ตลอดเวลาที่ผ่านมารัสเซียเป็นผู้จัดหายุทโธปกรณ์รายใหญ่ที่สุดของอินเดีย

โดยจัดหาเสบียงทางทหารเกือบครึ่งหนึ่ง

แต่เห็นได้ชัดว่าอินเดียต้องการจะขยายช่องทางการนำเข้าอาวุธ และเพิ่มการผลิตด้านการป้องกันในประเทศของตนเองด้วย

นอกเหนือจากข้อตกลงเครื่องยนต์ไอพ่นและโดรนแล้ว ทั้งสองประเทศยังมีแนวโน้มที่จะลงนามในสนธิสัญญาเกี่ยวกับการผลิตร่วมกันของระบบการเคลื่อนที่ทางบก อาวุธยุทโธปกรณ์อัจฉริยะ

ตลอดจนความร่วมมือด้านปัญญาประดิษฐ์ ความปลอดภัยทางไซเบอร์ อวกาศ ซูเปอร์คอมพิวเตอร์ ควอนตัม และเทคโนโลยีอื่นๆ

ตอนที่รัฐมนตรีกลาโหมสหรัฐฯ ไปเยือนอินเดียเมื่อต้นเดือนนี้ ก็มีการวาง "โรดแมป" สำหรับความร่วมมือด้านอุตสาหกรรมกลาโหมใน "อีกไม่กี่ปีข้างหน้า" อย่างน่าสนใจ

ออสติน บอกนักข่าวหลังจากพบกับรัฐมนตรีกลาโหมอินเดียว่า “เราตั้งตารอที่จะเดินหน้าโครงการเหล่านั้นบางส่วน ระหว่างการเยือนของผู้นำเราที่กำลังจะมีขึ้นในปลายเดือนนี้”

อินเดียมีเรื่องระหองระแหงกับจีนในภูมิภาคลาดักห์ตะวันออก ตามแนวพรมแดนโดยพฤตินัยที่เรียกว่า Line of Actual Control (LAC)

การสู้รบประชิดตัวในหุบเขากัลวานของพื้นที่ในช่วงกลางปี 2020 ทำให้ทหารอินเดียเสียชีวิต 20 นายและทหารจีน 4 นาย

นับเป็นการสู้รบที่มีการสูญเสียชีวิตของเพื่อนบ้านที่มีอาวุธนิวเคลียร์ทั้งคู่เป็นครั้งแรกในรอบหลายทศวรรษ

ตอนนั้นออสตินบอกว่า “วันนี้ความเป็นหุ้นส่วนระหว่างสหรัฐฯ-อินเดียเป็นรากฐานที่สำคัญของอินโด-แปซิฟิกที่เสรีและเปิดกว้าง”

และเสริมว่ายังมี “งานที่ต้องทำอีกมาก” สะท้อนว่าทั้งสองฝ่ายยังมีแผนจะทำอะไรร่วมกันอีกหลายเรื่อง

เพราะความร่วมมือระหว่างวอชิงตันกับเดลีไม่ได้จำกัดแค่การแบ่งปันเทคโนโลยีร่วมกันเท่านั้น

แต่ย้ำว่าจะมี “ความร่วมมือกันมากกว่าที่เคยเป็นมา”

ที่กรุงเดลีวันนั้น ออสตินยังได้ตั้งคำถามเกี่ยวกับที่ปักกิ่งกล่าวหาว่าสหรัฐฯ ต้องการจัดตั้งพันธมิตรแบบนาโตในเอเชีย เขาตอบว่า “เราไม่ได้พยายามที่จะก่อตั้ง NATO ในอินโด-แปซิฟิกอย่างแน่นอน”

แต่อ้างว่า "เรายังคงทำงานร่วมกับประเทศที่มีแนวคิดเดียวกัน เพื่อให้แน่ใจว่าภูมิภาคนี้ยังคงเสรีและเปิดกว้าง เพื่อให้การค้าเจริญรุ่งเรือง และยังสามารถแลกเปลี่ยนความคิดเห็นได้อย่างต่อเนื่อง"

ซึ่งฝ่ายจีนก็คงจะตีความว่าเป็นการอ้างข้างๆ คูๆ มากกว่า

ต้องไม่ลืมว่าโมดีเคยถูกสหรัฐฯ ตั้งข้อรังเกียจ และเคยถูกปฏิเสธวีซ่าเพราะ “ละเมิดเสรีภาพทางศาสนาอย่างร้ายแรง”

ถึงขั้นที่ถูกห้ามไม่ให้เข้าอเมริกายาวนานเกือบทศวรรษ

แต่ในช่วงเก้าปีนับตั้งแต่วอชิงตันยกเลิกมาตรการกีดกันต่อเขา โมดีได้รับการยอมรับจากทำเนียบขาวมากขึ้นเรื่อยๆ

และถึงวันนี้ต้องถือว่าสหรัฐฯ ถึงขั้นกระโดดเข้ากอดรัดฟัดเหวี่ยงโมดีกันเลยทีเดียว

ก็ด้วยเหตุผลเดียว นั่นคือเพราะผลประโยชน์สอดคล้องต้องกันในบางเรื่องบางเวลาจริงๆ!

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ประเทศเดียวในโลก ‘นายกฯทับซ้อน’ มหันตภัยปี 2568

นายสุทธิชัย หยุ่น สื่อมวลชนอาวุโส โพสต์เฟซบุ๊กว่าสำนักวิจัยต่าง ๆ กำลังวิเคราะห์เพื่อพยากรณ์ว่าประเทศไทยจะต้องเผชิญกับความท้าทายสาหัสอะไรบ้างใน

บิ๊กเซอร์ไพรส์ 'สุทธิชัย หยุ่น' เล่นซีรีส์ 'The White Lotus ซีซั่น 3'

เรียกว่าสร้างความเซอร์ไพรส์อย่างต่อเนื่อง สำหรับซีรีส์ The White Lotus ซีซั่น 3 ซึ่งจะสตรีมผ่าน Max ในวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2025 เพราะนอกจากจะมี ลิซ่า-ลลิษา มโนบาล หรือ ลิซ่า BLACKPINK ไอดอลเกาหลีสัญชาติไทย ที่กระโดดลงมาชิมลางงานแสดงเป็นครั้งแรก ในบทของ มุก สาวพนักงานโรงแรม

ถามแสกหน้า 'ทักษิณ' จะพลิกเศรษฐกิจไทยยังไง ทุกซอกมุมในสังคมยังเต็มไปด้วยทุจริตโกงกิน

นายสุทธิชัย หยุ่น นักวิเคราะห์ข่าวและผู้ดำเนินรายการข่าวชื่อดัง โพสต์เฟซบุ๊ก ถึงกรณีนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ว่า “เขาจะพลิกประเทศไทยให้เศรษฐกิจล้ำโลกได้หรือ

เขตเศรษฐกิจพิเศษชายแดนที่กลายเป็น ที่ซ่องสุมของอาชญากรรมข้ามชาติ

เมื่อวานเขียนถึงรายงานในสำนักข่าวชายขอบที่สำนักจะได้รับความสนใจของรัฐบาลไทยว่าด้วยกิจกรรมอาชญากรรมข้ามชาติในบริเวณ “เขตเศรษฐกิจพิเศษ” ที่สามเหลี่ยมทองคำ