เขียนเกี่ยวกับเรื่องเงินดอลลาร์กับเงินหยวนติดต่อกันมาหลายวัน ก็มีคำถามต่อมาว่า ทั้งหมดนี้ขึ้นอยู่กับว่าเศรษฐกิจของสหรัฐฯ กับจีนใครจะใหญ่กว่าใคร
หรือคำถามง่ายๆ ที่จะเป็นปัจจัยชี้ขาดว่าจีนจะแซงหน้าสหรัฐฯ ในทุกๆ ด้านนั้นต้องเริ่มด้วยเศรษฐกิจ
จึงต้องตรวจสอบไปหลายๆ สำนักงานที่เขาพยากรณ์ว่าผลผลิตมวลรวมหรือ GDP ของจีนจะใหญ่กว่าสหรัฐฯ เมื่อไหร่?
เป็นคำถามที่อยู่บนพื้นฐานความเชื่อของผู้เชี่ยวชาญทั้งหลาย ว่าวันหนึ่งข้างหน้าอีกไม่นานนัก GDP ของจีนจะต้องใหญ่กว่าของสหรัฐฯ แน่นอน
คำถามจึงไม่ได้อยู่ที่ว่าจะแซงหน้าไหม แต่ต้องถามว่าเมื่อไหร่? จะช้าหรือเร็วเพียงใด?
นิตยสาร The Economist ของอังกฤษมีรายงานวิเคราะห์ว่า เมื่อ 20 ปีที่แล้ว เศรษฐกิจของจีนมีขนาดเพียง 14% เท่ากับเศรษฐกิจของอเมริกา (ตามอัตราแลกเปลี่ยนในตลาด)
แม้แต่ตอนนั้นนักเศรษฐศาสตร์บางสำนักก็เริ่มจะเชื่อว่า ไม่ใช่เรื่องเร็วเกินไปที่จะเริ่มคาดคะเนว่าเมื่อใดที่ GDP ของจีนอาจเบียดอเมริกาให้ตกจากตำแหน่งประเทศเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดในโลก
ในบทวิเคราะห์ที่มีคนอ้างอิงกันอย่างกว้างขวาง ซึ่งตีพิมพ์ในปี 2003 ของ Goldman Sachs ซึ่งเป็นสถาบันการเงินยักษ์ของโลก ทำนายว่าปีแห่งการตัดสินรู้หมู่รู้จ่าจะเป็นปี 2041
เมื่อพอเกิดวิกฤตการเงินโลกในปี 2007-2009 แนวคาดการณ์นั้นก็ดูจะต้องปรับให้เร็วขึ้นกว่าเดิมเสียแล้ว
ช่องว่างระหว่างจีนกับอเมริกาแคบลงเร็วกว่าที่คาดไว้มาก เพราะอเมริกาเริ่มแสดงอาการสั่นคลอนขณะที่การเติบโตของจีนดูจะมี “พลังอึด” มากกว่า
อีกทั้งเงินสกุลหยวนของจีนก็แข็งค่าขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ภายในปี 2010 GDP ของจีนก็กระโดดขึ้นมาเท่ากับ 40% ของอเมริกา
Goldman Sachs ปรับคำพยากรณ์ใหม่ ด้วยการทำนายว่าจีนจะวิ่งแซงหน้าสหรัฐฯ เร็วขึ้น
จากเดิมที่ตั้งไว้ต้นทศวรรษ 2040 มาเป็นปลายทศวรรษ 2020
สำนักพยากรณ์ของ The Economist เองก็กระโจนลงมาเล่นเกมการคาดคะเนในเกมเดียวกันอย่างไม่สะทกสะท้าน
นั่นหมายความว่าไม่กลัวจะหน้าแตก
ในปีนั้น สื่ออังกฤษสำนักนี้เขียนสร้างแผนภูมิเชิงโต้ตอบ เพื่อให้ผู้อ่านสามารถคาดการณ์ได้เองว่าจีนจะแซงหน้าอเมริกาเมื่อใด โดยให้ผู้อ่านตั้งสมมติฐานตัวเลขการเติบโต อัตราเงินเฟ้อ และอัตราแลกเปลี่ยน
สมมติฐาน "เริ่มต้น" ของเราบอกเป็นนัยว่า ช่วงเวลาแห่งชัยชนะทางเศรษฐกิจของจีนอาจมาถึงอย่างเร็วที่สุดในปี 2019
แต่ 5 ปีต่อมา สำนักข่าวนี้ก็ยอมรับว่าประเมินการเติบโตของจีนแบบ “โลกสวย” เกินไปหน่อย
สาเหตุไม่ใช่เพราะการเติบโตของจีนที่ต่ำกว่าที่คาด แต่เป็นเพราะอัตราแลกเปลี่ยนที่ปรับตามอัตราเงินเฟ้อแล้วหยุดแข็งค่าอย่างกะทันหัน
จีนลดค่าเงินหยวนอย่างงุ่มง่ามในปี 2015 ซึ่งสร้างความหวาดกลัวให้นักลงทุนที่หวั่นวิตกว่าค่าเงินจะอ่อนค่าลงอีก
ด้วยเหตุนี้ สำนักวิเคราะห์ The Economist จึงออกบทประเมินใหม่
โดยเลื่อนวันที่ประเทศจีนจะบรรลุเป้าหมายก้าวขึ้นเป็นประเทศเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดในโลกไปอีกไกลเลย
ตอนปลายปี 2015 ซึ่งเป็นปีที่เต็มไปด้วยเหตุการณ์สำคัญหลายเรื่อง หน่วย “ข่าวกรองเศรษฐกิจ” หรือ EIU ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของสำนักข่าวแห่งนี้ คาดการณ์ว่าจีนจะไม่แซงหน้าอเมริกาจนกว่าจะถึงปี 2032
หรือช้ากว่าที่คาดการณ์ไว้เมื่อ 12 เดือนก่อนหน้าถึง 8 ปี
การเลื่อนวันที่ “นัดพบกับชะตากรรมทางเศรษฐกิจ” ของจีน ทำให้เกิดข้อสงสัยว่าในท้ายที่สุดการพยากรณ์นี้จะเป็นไปตามที่คาดการณ์หรือไม่
เพราะมีปัจจัยที่ไม่แน่นอนหลายประการที่ต้องนำมาพิจารณาประกอบ ในการที่จะประเมินให้แม่นยำและสอดคล้องกับความเป็นจริง
ตัวแปรสำคัญคือ การเติบโตทางด้าน “ผลิตภาพ" (productivity) ของจีนชะลอตัวลง และโครงสร้างประชากรของประเทศก็เปลี่ยนไปด้วย
นั่นแปลว่าแรงงานของจีนกำลังหดตัวลง
และการปรับตัวลดลงของแรงงานจีนอาจเร่งตัวขึ้นในอีกหลายสิบปีข้างหน้า
สหประชาชาติคาดการณ์ว่า ประชากรจีนวัย 15-64 ปีจะลดลงมากกว่า 100 ล้านคนในช่วงปี 2030
นั่นแปลว่าหากจีดีพีของจีนไม่แซงหน้าอเมริกาในช่วงกลางทศวรรษนั้น ก็อาจไม่มีโอกาสที่จะเป็นประเทศเศรษฐกิจอันดับหนึ่งของโลกได้อีกนาน
นั่นเป็นแนวทางวิเคราะห์จากบริษัทวิจัยอีกสำนักหนึ่ง Capital Economics
แต่กระนั้นคำพยากรณ์ของสำนักนี้ก็อาจจะดูมืดมนเกินไป เพราะหน่วยงานคาดการณ์อื่นๆ เช่น OECD, Lowy Institute และ Center for Economics and Business Research คาดการณ์ว่า GDP ของจีนจะแซงหน้าอเมริกาในช่วงปี 2030
ตัวอย่างเช่น ตอนนี้ EIU มีเหตุผลจะเชื่อว่าปรากฏการณ์เช่นว่านี้น่าจะเกิดขึ้นในปี 2039 หรืออีกประมาณ 16 ปีจากนี้
น่าสังเกตว่า คำทำนายที่ว่านี้ใกล้เคียงกับวันที่เดิมของ Goldman Sachs ซึ่งกะเก็งเอาไว้เมื่อ 20 ปีที่แล้วอย่างมากทีเดียว
ต้องไม่ลืมว่าเศรษฐกิจของจีนมีทั้งขึ้นและลงในช่วงสองทศวรรษที่ผ่านมา
เป็นผลให้การพยากรณ์จากสำนักต่างๆ นั้นต้องปรับต้องเปลี่ยนอยู่ตลอดเวลา
แต่ไปๆ มาๆ คำทำนายจากสำนักทั้งหลายก็วนมาครบวงจรจนได้...นั่นคือวกกลับมาสู่การคาดการณ์ชุดเดิมที่ประเมินเอาไว้เมื่อ 20 ปีก่อน
ตรงกับสัจธรรมที่ว่า “บางครั้งการมองอนาคตนั้น จะเห็นได้ชัดกว่าถ้ามองจากระยะไกล...”
หรืออีกนัยหนึ่งคือ “ยิ่งใกล้ยิ่งมองไม่ชัด”!
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
มีแม้วไม่มีเรา! วัดใจจุดยืน 'พรรคส้ม' หลังทักษิณขีดเส้นแบ่งข้างทุกเวทีแล้ว
นายสุทธิชัย หยุ่น สื่อมวลชนอาวุโส โพสต์เฟซบุ๊กว่า "พรรคส้มกล้าไหม? มีแม้วไม่มีเรา!
ประเทศเดียวในโลก ‘นายกฯทับซ้อน’ มหันตภัยปี 2568
นายสุทธิชัย หยุ่น สื่อมวลชนอาวุโส โพสต์เฟซบุ๊กว่าสำนักวิจัยต่าง ๆ กำลังวิเคราะห์เพื่อพยากรณ์ว่าประเทศไทยจะต้องเผชิญกับความท้าทายสาหัสอะไรบ้างใน
‘หยุ่น’ ฟันเปรี้ยงรอดยาก! ชั้น 14 ดิ้นอย่างไรก็ไม่หลุด
นายสุทธิชัย หยุ่น สื่อมวลชนอาวุโส โพสต์เฟซบุ๊กว่า เรื่องชั้น 14 จะดิ้นอย่างไรก็หลุดยาก จึงเห็นการเฉไฉ, ตีหน้าตาย
บิ๊กเซอร์ไพรส์ 'สุทธิชัย หยุ่น' เล่นซีรีส์ 'The White Lotus ซีซั่น 3'
เรียกว่าสร้างความเซอร์ไพรส์อย่างต่อเนื่อง สำหรับซีรีส์ The White Lotus ซีซั่น 3 ซึ่งจะสตรีมผ่าน Max ในวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2025 เพราะนอกจากจะมี ลิซ่า-ลลิษา มโนบาล หรือ ลิซ่า BLACKPINK ไอดอลเกาหลีสัญชาติไทย ที่กระโดดลงมาชิมลางงานแสดงเป็นครั้งแรก ในบทของ มุก สาวพนักงานโรงแรม
ถามแสกหน้า 'ทักษิณ' จะพลิกเศรษฐกิจไทยยังไง ทุกซอกมุมในสังคมยังเต็มไปด้วยทุจริตโกงกิน
นายสุทธิชัย หยุ่น นักวิเคราะห์ข่าวและผู้ดำเนินรายการข่าวชื่อดัง โพสต์เฟซบุ๊ก ถึงกรณีนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ว่า “เขาจะพลิกประเทศไทยให้เศรษฐกิจล้ำโลกได้หรือ
เขตเศรษฐกิจพิเศษชายแดนที่กลายเป็น ที่ซ่องสุมของอาชญากรรมข้ามชาติ
เมื่อวานเขียนถึงรายงานในสำนักข่าวชายขอบที่สำนักจะได้รับความสนใจของรัฐบาลไทยว่าด้วยกิจกรรมอาชญากรรมข้ามชาติในบริเวณ “เขตเศรษฐกิจพิเศษ” ที่สามเหลี่ยมทองคำ