ชนะการเลือกตั้ง ได้ ส.ส.มากกว่าพรรคอื่นๆ ตีขลุมว่าพรรคของตนได้ “ฉันทามติ” มาจัดตั้งรัฐบาล ประการแรก ขอบอกให้ทราบว่า 151 เสียงยังไม่ถึงกึ่งหนึ่งของจำนวน ส.ส.ในสภาผู้แทนราษฎร ดังนั้นจะตีขลุมว่าเป็น “ฉันทามติไม่ได้” ดูจากจำนวนผู้ชนะการเลือกตั้ง 151 เสียง ก็ไม่ถึงกึ่งหนึ่ง ดูจากคะแนนรวมที่ได้ 14 ล้านกว่าเสียง ก็ไม่ใช่กึ่งหนึ่งของผู้มีสิทธิลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง 52 ล้านเสียง ดังนั้น โปรดอย่าตีขลุมว่าการได้ ส.ส.มากที่สุดมาเป็นอันดับหนึ่งเป็นการได้ฉันทามติให้เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล พรรคอื่นเขารักษามารยาทให้พรรคที่ได้เสียงข้างมากเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลก่อน แต่ถ้าหากรวมคะแนนเสียงแล้วไม่ได้กึ่งหนึ่งของจำนวนสมาชิกรัฐสภา (ส.ส.และ ส.ว.รวมกัน)พรรคอื่นที่สามารถรวบรวมเสียงได้เกินกึ่งหนึ่งของสมาชิกรัฐสภาก็มีความชอบธรรมในการจัดตั้งรัฐบาล ไม่ผิดกติกาแต่อย่างใด
นอกจากเรื่องฉันทามติในการจัดตั้งรัฐบาลแล้ว ยังตีขลุมอีกว่าการที่ชนะเลือกตั้งได้จำนวน ส.ส.มากกว่าพรรคอื่นๆ ยังมาตีขลุมพูดว่าชัยชนะของพรรคครั้งนี้แสดงว่าประชาชนเห็นด้วยกับการแก้หรือการยกเลิก ม.112 ให้สัมภาษณ์กับสื่อต่างชาติ เมื่อพิธีกรต่างชาติตั้งคำถามด้วยข้อความที่ไม่เหมาะสมเกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์ ก็ไม่แก้ไข กลับแสดงความคิดเห็นว่าประชาชนแสดงฉันทามติเห็นด้วยกับการแก้ไขหรือยกเลิกมาตรา 112 ทั้งๆ ที่คะแนนที่พรรคได้ไปก็ไม่ถึงกึ่งหนึ่ง และที่แน่ๆ ก็คือ คนที่กาเลือกพรรคของเขานั้น ไม่มีอะไรบ่งบอกอย่างชัดเจนว่าที่เลือกเขานั้นเพราะเห็นด้วยกับจุดยืนของพรรคเรื่อง ม.112 อันที่จริงแล้ว หากประมาณการจากคนที่มาร่วมชุมนุมเกี่ยวกับเรื่อง ม.112 นั้น จะมีจำนวนคนร่วมน้อยมาก ส่วนที่เราเห็นข้อความหมิ่นสถาบันพระมหากษัตริย์และต้องการให้ยกเลิก ม.112 มากมายบนพื้นที่ Social media นั้น เราก็รู้แล้วว่าเป็นขบวนการ IO ที่มีอวตารช่วยกันปั่นมากมาย ขอแสดงความคิดเห็นเป็นประมาณการว่า น่าจะมีคนที่เห็นด้วยไม่เกิน 10% ของจำนวนประชากรทั้งหมด คือไม่เกิน 7 ล้านคน และถ้าเป็น 10% ของคนที่มีสิทธิลงคะแนนเสียงเลือกตั้งก็ไม่น่าจะเกิน 5 ล้านคน แล้ว 14 ล้านเสียงมาจากไหน
⦁ ผู้สูงวัยอยากได้เบี้ยชรา 3,000 บาทต่อเดือน
⦁ คนพิการอยากได้เบี้ยพิการ 3,000 บาทต่อเดือน
⦁ คนป่วยติดเตียงอยากได้เบี้ยติดเตียง 10,000 บาทต่อเดือน
⦁ คนมีลูกอายุยังไม่ถึง 5 ปี อยากได้เบี้ยเลี้ยงลูก 1,200 บาทต่อเดือนต่อลูกแต่ละคน
⦁ คนงานอยากได้ค่าแรงขั้นต่ำ 450 บาทต่อวัน
⦁ คนจบปริญญาตรีอยากได้เงินเดือน 25,000 บาท
⦁ คนหนุ่มและพ่อแม่ แฟนของคนหนุ่มชอบที่จะมีการยกเลิกการเกณฑ์ทหาร
⦁ เด็ก Gen Y และ Gen Z ที่บ้าเสรีภาพอยากได้เสรีภาพ ทำอะไรได้ตามใจชอบ
⦁ บางคนก็อยากเห็นการเปลี่ยนแปลง (โดยไม่รู้ว่าจะเปลี่ยนประเทศชาติไปอย่างไร)
⦁ พ่อแม่บางคนถูกลูกขู่ว่าจะทำโน่นทำนี่ที่ไม่เหมาะสม จึงต้องเลือกตามใจลูก
⦁ พ่อแม่บางคนก็กลัวลูกจะลงถนน แล้วทำผิดกฎหมาย อาจจะต้องติดคุก
⦁ หญิงสาวบางคนก็หลงรูปลักษณ์ของหัวหน้าพรรค ขนาดเรียกว่า “พ่อของส้ม”
⦁ บางคนมองว่า การเป็นคนจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์เป็นความเชย ล้าสมัย จึงต้องทำตัวเป็นคนสมัยใหม่ด้วยการเลือกที่จะเป็นปรปักษ์กับสถาบันพระมหากษัตริย์
⦁ บางคนมองว่าการเลือกพรรคส้มคือการเป็นประชาธิปไตย หากเลือกพรรคอนุรักษนิยมที่เป็นรัฐบาลอยู่ในเวลานี้คือคนที่นิยมเผด็จการ
ทั้งหมดทั้งสิ้นทั้งปวงนี้น่าจะเป็นแรงจูงใจให้คนที่มีสิทธิในการลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง ลงคะแนนกาให้พรรคส้มที่ทำให้เราต้องพูดสิ่งที่ไม่อยากจะพูด เพราะจะถูกมองว่าไม่เคารพการลงคะแนนเสียงของคนอื่น สิ่งที่เราอยากจะพูดก็คือ แรงจูงใจในการเลือกพรรคส้มของคนบางคนนั้นเป็นการมองสิ่งที่ตัวเองจะ “ได้” โดยไม่มีการมองสิ่งที่ประเทศจะ “เสีย” จะเรียกว่าเป็นการเห็นแก่ได้ เห็นแก่ตัวได้หรือเปล่าล่ะคะ
บัดนี้เขาชนะการเลือกตั้งแล้ว แม้ว่าเขายังเป็นเพียงว่าที่ ส.ส. ยังไม่ได้รับการรับรองให้เป็น ส.ส. เราก็ได้รับรู้แล้วว่าสิ่งที่เขาใช้เป็นเหยื่อในการตกปลาครั้งนี้เป็นเหยื่อปลอม เพราะตอนนี้พวกเขาก็ออกมาพูดแล้วว่าหลายอย่างทำไม่ได้ และหลายอย่างจะทำทันที หรือทำภายใน 100 วันอย่างที่เคยสัญญาเอาไว้ไม่ได้ อาจจะได้ในปี 2570 โน่น คนชราที่อยากได้ 3,000 บาทต่อเดือนจะยังอยู่ไหม คนที่นอนติดเตียงจะยังอยู่ไหม
นอกเหนือจากสิ่งที่เขาพูดเองว่าหลายอย่างทำไม่ได้ หลายอย่างต้องรอไปก่อน ภาคส่วนต่างๆ ก็ออกมาคัดค้านนโยบายหลายๆ อย่างของเขา ไม่ว่าเรื่องค่าแรง เรื่องการเป็นรัฐสวัสดิการ เรื่องการขึ้นภาษี เรื่องการแก้ไขหรือยกเลิกมาตรา 112 เรื่องนโยบายต่างประเทศ คนที่ไม่เห็นด้วยกับนโยบายของเขานั้นมีตัวเลขทางสถิติมาสนับสนุน มีเหตุการณ์ในอดีตที่เป็นบทเรียนมาสนับสนุน ในขณะที่คนที่พรรควางตัวไว้ให้เป็นขุนคลังนั้น ยิ่งพูดยิ่งเละ แสดงให้เห็นความอ่อนด้อยประสบการณ์ ขาดวิสัยทัศน์ ขาดการคิดเชิงรับ ทำให้คนที่มีประสบการณ์ มีความรู้ออกมาแสดงความคิดเห็นแบบไม่เห็นด้วย และสอนมวยไก่อ่อนหัดขันกันเป็นแถว และที่ชัดมากๆ ก็คือ หุ้นในตลาดหลักทรัพย์ของไทยร่วงระนาวหลายวันติดต่อกันมาจนบัดนี้ อาจจะมีบางวันที่กระดานหุ้นเป็นสีเขียว แต่ไปดูไส้ใน จะเห็นได้ชัดว่านักลงทุนต่างชาติเทขายมาโดยตลอด ที่เป็นเช่นนี้เพราะนักลงทุนเขาไม่มั่นใจการบริหารประเทศของพรรคที่มีทีท่าว่าจะเป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล
ฉากทัศน์ของการเมืองที่เรากำลังเห็นอยู่นี้เป็นเพราะนักการเมืองพร้อมที่จะโกหกประชาชนให้ได้คะแนนเสียง ประชาชนส่วนหนึ่งเห็นแก่ได้ เห็นแก่ตัว คิดถึงแต่ประโยชน์ส่วนตน ไม่ห่วงประเทศชาติ และมีสื่อมวลชนทั้ง offline และ online ที่ไร้จรรยาบรรณช่วยโหมกระพือเชียร์ จะด้วยความสะใจ หรือได้ผลประโยชน์อันใดมิอาจจะรู้ได้ ปมของฉากทัศน์การเมืองที่เป็นอยู่ในขณะนี้ แก้ยากนะคะ...ขอบอก.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
ลัคนาธนูกับเค้าโครงชีวิตปี 2568
ยังอยู่ในช่วงเจ็ดปีของการเปลี่ยนแปลงใหญ่สุขภาพอนามัย-หนี้สิน-ลูกน้องบริวาร และเกือบตลอดปีผู้หลักผู้ใหญ่อวยสถานะ-ยศ-เงินทองให้ แต่มีช่วงซ้อมรับทุกข์และการได้ความผิดที่ไม่ได้ก่อ
ดร.เสรี ลั่นรังเกียจ วาทกรรมแซะสถาบัน
ดร.เสรี วงษ์มณฑา นักวิชาการด้านการตลาดและการสื่อสารโพสต์เฟซบุ๊กว่า เกิดวาทกรรมใหม่ "ใบอนุญาตที่ 2"
เด็กฝึกงาน...ไม่ผ่านโปร
ฉากทัศน์ทางการเมืองของประเทศไทยหลังจากรู้ผลของการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2566 เป็นภาพที่สร้างความกังวลให้กับคนไทยจำนวนมากที่ไม่ได้เลือกพรรคส้มหรือพรรคแดง
'ความเป็นไทย' กับกรณีน้ำท่วมภาคเหนือ-ภาคใต้
ถึงแม้จะก่อเกิด ถือกำเนิด ที่อำเภอชะอำ จังหวัดเพชรบุรี...แต่ด้วยเหตุเพราะไปเติบโตที่ภาคใต้ ไม่ว่าเริ่มตั้งแต่อำเภอทุ่งสง จังหวัดหน่ะคอนซี้ทำหมะร่าด ไปจนอำเภอกันตัง
ได้ฤกษ์ 'นายพล' ล็อต 2
ผ่านเดดไลน์ตามคำสั่ง ผบ.ต่าย-พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ให้ทุกหน่วยส่งบัญชีข้อมูลผู้เหมาะสมเลื่อนตำแหน่งสูงขึ้น
'ดร.เสรี' กรีดเหวอะ! ใครมีลูกสาวเก่งพอที่จะเป็นนายกฯ ต้องบอกลูกให้มีผัว 9 คนอยู่ใน 9 ภาค
ดร.เสรี วงษ์มณฑา นักวิชาการด้านการตลาดและการสื่อสารโพสต์เฟซบุ๊กว่า ใครมีลูกสาวที่เก่งพอที่จะเป็นนายกรัฐมนตรีได้ ต้องบอกลูกนะคะ