'อุเบกขา' สิ่งที่ขาดหายไปจากบรรดา 'ติ่งๆ' ทั้งหลาย

พระอาจารย์ ประยุทธ์ ปยุตฺโต หรือ พระธรรมปิฎก ท่านได้เทศนา สั่งสอน ไว้ในหนังสือ จาริกบุญ-จารึกธรรม ขณะร่วมเดินทางกับญาติ-โยมไปยังประเทศอินตะระเดียเมื่อกว่า 20-30 ปีที่แล้ว ถึงสิ่งที่เรียกว่า พรหมวิหาร 4 หรือ ธรรมประจำใจของพรหม เอาไว้อย่างสุดแสนจะลึกซึ้ง น่าคิดสะกิดใจ และน่าซาบซึ้ง ตรึงใจ เอามากๆ

คือสิ่งที่เรียกว่า พรหมวิหาร 4 ที่ว่านี้...อาจถือเป็น เครื่องมือ ชิ้นสำคัญ ในการอยู่ร่วมกันโดยสันติของบรรดามวลมนุษย์ตั้งแต่ระดับครอบครัว ชุมชน ไปถึงสังคม ประเทศชาติ หรือทั่วทั้งโลกเอาเลยก็ว่าได้ หรืออาจไม่ต่างไปจากสิ่งที่เรียกว่า ความรัก

ที่ถือเป็น แก่นสาระสำคัญ ของศาสนาคริสต์เขานั่นแหละ อันเป็นอะไรที่ลึกซึ้งไปกว่าความรักแบบหนุ่มๆ-สาวๆ หรือความรักแบบที่มี ตัวกู-ของกู เป็นที่ตั้ง ด้วยเหตุนี้ในรายละเอียดของพรหมวิหารแต่ละข้อ ไล่มาตั้งแต่ 1.ความเมตตา หรือความรัก ความปรารถนาดี อยากให้เขาเป็นสุข 2.กรุณา ความสงสารอยากให้เขาพ้นทุกข์ และ 3.มุทิตา ความพลอยยินดีด้วยเมื่อเขาได้ดีมีสุข ประสบความสำเร็จ ซึ่งคงไม่ถึงกับลำบาก ยากเย็น ในการ เข้าถึง-เข้าใจ มากมายซักเท่าไหร่นัก เพราะบรรดาพวก ติ่งๆ ทั้งหลาย ไม่ว่าจะติ่งส้ม ติ่งแดง ติ่งสลิ่ม ไปจนกระทั่งติ่งอเมริกา ติ่งจีน ติ่งรัสเซีย ฯลฯ โน่นเลย ต่างก็พร้อมที่จะเมตตา-กรุณา-มุทิตา ต่อผู้ที่เปิดพื้นที่ พื้นผิว ให้ตัวเองมีโอกาสงอกงาม เจริญเติบโต จนกลายสภาพไปเป็น ติ่ง ของใคร-ของมันอยู่แล้วแน่ๆ

แต่ในข้อที่ 4 หรือข้อสุดท้าย ของ พรหมวิหาร 4 คือ อุเบกขา นี่แหละ ที่ต้องอาศัยความลึกซึ้ง ความ เข้าถึง-เข้าใจ อย่างเป็นพิเศษ หรือต้องอาศัย ปัญญา อันเป็นสิ่งที่บรรดา ติ่งๆ ทั้งหลาย มักไม่ค่อยชอบพกติดตัว ติดกระเป๋ากุงเกงมากมายซักเท่าไหร่นัก หนักไปทางอาศัย อารมณ์-ความรู้สึก ของใคร-ของมัน ช่วยกัน ปรุงแต่ง ไปตามความชอบ-ความชัง ของแต่ละ ติ่ง ไปตามสภาพ แต่ท่านอาจารย์ ประยุทธ์ ปยุตฺโต ท่านได้พยายามอรรถาธิบาย ไขข้อความอันลึกซึ้ง เอาไว้ประมาณว่า... “เฉพาะเพียงแค่ความรักเท่านั้น ยังไม่พอที่จะให้โลกอยู่ดีมีสุขได้จริงๆ เพราะธรรม 3 ข้อ (เมตตา-กรุณา-มุทิตา) ที่ว่าไปแล้ว เป็นเพียงความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์ต่อมนุษย์ เมื่อคนเราอยู่ร่วมกัน คนต่อคน คนนี้ต่อคนนั้น ก็ใช้ธรรม 3 ข้อแรกเป็นหลัก แต่เผอิญ...มนุษย์ไม่ได้อยู่เพียงลำพังกับมนุษย์เท่านั้น เพราะโดยเบื้องหลังที่ลึกลงไป สิ่งที่รองรับโลกมนุษย์ทั้งโลกนี้ ก็คือ...ธรรมชาติ กฎธรรมชาติ หรือความเป็นจริงตามธรรมชาติ...”

ดังนั้น หรือ “เพราะฉะนั้น...จะต้องคำนึงถึงข้อนี้ด้วยว่า ความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์นี้ จะต้องระวังไม่ให้ไปกระทบ ไปก่อผลเสียต่อความสัมพันธ์กับกฎธรรมชาติ หรือความเป็นจริงในธรรมชาติที่รองรับโลกมนุษย์อีกทีหนึ่ง เพราะถ้าโลกมนุษย์ปฏิบัติวิปริตผิดพลาดไป ไม่สอดคล้องตรงกับความเป็นจริงของกฎธรรมชาติแล้ว โลกมนุษย์เองก็จะพลอยเดือดร้อน เสียหาย พระพุทธเจ้าท่านจึงไม่หยุดแค่ 3 ข้อต้น แต่ได้ตรัสแสดงความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับความจริงตามธรรมชาติไว้อีกข้อหนึ่ง นั่นคือความจริงที่สิ่งทั้งหลายย่อมต้องเป็นไปตามเหตุผล ตามเหตุปัจจัยของมัน ตามหลักการแห่งความจริง ความถูกต้อง ดีงามต่างๆ ที่มีอยู่เป็นสัจธรรม...” และ “ตัวหลักการแห่งความจริง ความถูกต้อง ดีงาม ความเป็นเหตุเป็นผลที่มีอยู่ในธรรมชาติ ที่เป็นของกลางๆ ซึ่งเป็นตัวหล่อเลี้ยงสังคมมนุษย์เอาไว้อีกชั้นหนึ่ง ถ้าตัวหลักการที่ว่านี้ไม่อาจดำรงอยู่ได้แล้ว แม้สังคมมนุษย์เองจะสัมพันธ์กันอย่างดีใน 3 ข้อแรก ก็อยู่ไม่ได้ จะต้องพังทลายแน่ๆ...”

อันนี้นี่เอง...ที่ทำให้ พรหมวิหาร ข้อสุดท้าย หรือข้อ อุเบกขา อันหมายถึง “ไม่ใช่การเฉยเมิน หรือเฉยเมย แต่เป็นเฉยมองหรือที่แปลว่าเข้าไปมองอยู่ หรือมองอยู่ใกล้ๆ คือเฉยแต่มองดูอยู่ตลอดเวลา ถ้าเขาเพลี่ยงพล้ำก็พร้อมที่จะเข้าไปช่วย” (ช่วยแก้ไขให้สิ่งผิด-กลายเป็นสิ่งถูก) จึงเป็นสิ่งที่มิอาจแยกออกไปจาก 3 ข้อแรก หรือจากเมตตา-กรุณา-มุทิตาได้เลย ด้วย “การวางเฉยต่อคนเพื่อรักษาธรรม ไม่เห็นแก่คน-แต่เห็นแก่ธรรม วางตัวเป็นกลางต่อคน ไม่ขวนขวายช่วยคน (เชียร์คน) เพื่อจะได้ไม่ก้าวก่ายแทรกแซงธรรม หรือเพื่อให้เป็นไปตามธรรม”

ดังนั้น...ถ้าหากบรรดา ติ่งๆ ทั้งหลาย ไม่ว่าจะติ่งของใคร ประเภทใด สังคมใด ก็แล้วแต่ หันมายึดมั่นใน อุเบกขา หรือหันมา ยึดมั่นในธรรม ในกฎแห่งความเป็นจริงตามธรรมชาติ โลกทั้งโลกย่อมมีแต่ต้องสุข-สงบ-สันติไปอีกตราบนานเท่านาน ไม่ใช่แต่เฉพาะ สังคมไทย ที่กำลังเต็มไปด้วย ติ่งใคร-ก็ติ่งมัน เต็มไปด้วย อารมณ์-ความรู้สึก โดยแทบไม่ได้สนใจถึงความมีเหตุ-มีผล ความเป็นจริงตามธรรมชาติ หรือความถูกต้อง ดีงาม อันเป็น สัจธรรม ที่มิอาจปฏิเสธได้...นั่นแล...

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

เกรงว่าคำอวยพรปีใหม่จะไม่จริง

เวลาที่เรากล่าวคำอวยพรให้ใครๆ เราก็จะพูดแต่เรื่องดีๆ และหวังว่าพรของเราจะเป็นจริง ถ้าหากเราจะเอาเรื่องอายุ วรรณะ สุขะ พละ มาอวยพร โดยเขียนเป็นโคลงกระทู้ได้ดังนี้

แด่...ไพบูลย์ วงษ์เทศ

ถึงแม้จะช้าไปบ้าง...แต่ยังไงๆ ก็คงต้องเขียนถึง สำหรับการลา-ละ-สละไปจากโลกใบนี้ของคุณพี่ ไพบูลย์ วงษ์เทศ นักเขียน นักกลอนและนักหนังสือพิมพ์อาวุโส

กร่าง...เกรี้ยวกราด...ฤากลัว

ใครบางคนตำแหน่งก็ไม่มี สมาชิกก็ไม่ใช่ แต่แสดงบทบาทยิ่งใหญ่กว่าใครๆ เหมือนจงใจจะสร้างตำแหน่งใหม่ที่คนไทยต้องยอมรับ และดูเหมือนเขาจะประสบความสำเร็จเอาเสียด้วย

คำอวยพรปีใหม่ 2568

ใกล้ถึงช่วงปีหน้า-ฟ้าใหม่ยิ่งเข้าไปทุกที...การตระเตรียมคำอำนวย-อวยพรให้กับใครต่อใครไว้ในช่วงวาระโอกาสเช่นนี้ อาจถือเป็น หน้าที่ อย่างหนึ่ง

ก้าวสู่ปีใหม่ 2568

สัปดาห์สุดท้ายปลายเดือนธันวาคม 2567 อีกไม่กี่วันก็จะก้าวเข้าสู่ปี 2568 "สวัสดีปีใหม่" ปีมะเส็ง งูเล็ก