ยังต้องจับตาดูเศรษฐกิจรอบโลก

ดูเหมือนว่าจะยังมีหลายสถานการณ์เกี่ยวกับเศรษฐกิจที่ต้องเฝ้าจับตาดูในแต่ละประเทศ โดยเฉพาะทางฝั่งของสหรัฐ ที่เฟดเผยว่าอาจไม่ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยสูงมาก ขณะที่การเจรจาเพื่อบรรลุข้อตกลงเรื่องเพดานหนี้อาจใช้เวลานานกว่าคาดอีกด้วย โดยวิจัยกรุงศรีระบุไว้ว่า การเจรจาปรับเพิ่มเพดานหนี้ระหว่างทำเนียบขาวและพรรครีพับลิกันในวันศุกร์ยังไม่มีความคืบหน้า และอาจต้องนัดเจรจากันใหม่ในสัปดาห์นี้ เพื่อหลีกเลี่ยงการผิดนัดชำระหนี้ในเดือนมิถุนายน ขณะที่ดัชนีชี้วัดภาพรวมการบริโภคของสหรัฐยังคงอ่อนแอ สะท้อนจากยอดค้าปลีกที่โตช้าสุดในรอบเกือบ 3 ปี และความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนพฤษภาคมที่ปรับตัวลงสู่ระดับต่ำสุดในรอบ 6 เดือน บ่งชี้ทิศทางเชิงลบต่อภาพรวมเศรษฐกิจสหรัฐในช่วงครึ่งปีหลัง 

อย่างไรก็ตาม ความแข็งแกร่งของตลาดแรงงานท่ามกลางอัตราการว่างงานที่ต่ำสุดในรอบกว่าครึ่งศตวรรษ ช่วยบรรเทาความเสี่ยงที่จะเผชิญกับภาวะถดถอยที่รุนแรง วิจัยกรุงศรีประเมินว่า เฟดจะคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ระดับ 5.00-5.25% ในการประชุมเดือนมิถุนายนเพื่อให้สอดคล้องกับอัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงเริ่มเป็นบวก ลดความเสี่ยงในภาคธนาคาร รวมถึงเศรษฐกิจสหรัฐที่มีความอ่อนแอมากขึ้น

ขณะที่ประเทศญี่ปุ่นจะเห็นได้ว่าตัวเลขจีดีพีกลับมาโตได้เป็นครั้งแรกในรอบ 2 ไตรมาส จากแรงหนุนของการบริโภคภายในประเทศ ตัวเลขจีดีพีไตรมาส 1/66 ขยายตัว 0.4% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า และ 1.6% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน หลังจากหดตัวในช่วง 2 ไตรมาสก่อนหน้า ขณะที่ในเดือนเมษายน ตัวเลขนักท่องเที่ยวต่างชาติเพิ่มขึ้นสู่ 1.95 ล้านคน จากเดือนก่อนหน้าที่ 1.82 ล้านคน หรือคิดเป็นประมาณ 70% ของจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติในปี 2561-62 (ก่อนวิกฤตโควิด-19) ด้านดัชนีราคาผู้ผลิตปรับเพิ่มขึ้น 5.8% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว ชะลอลงจากเดือนก่อนหน้าที่ 7.4% และเป็นการชะลอตัวลงติดต่อกันเดือนที่ 4

ต้องบอกว่าภาพรวมเศรษฐกิจญี่ปุ่นเป็นบวกมากขึ้นในไตรมาส 1/66 หลัง GDP กลับมาขยายตัวเป็นครั้งแรกในรอบ 2 ไตรมาส จากการเติบโตของการบริโภคภายในประเทศ ผ่านปัจจัยหนุนการยกเลิกมาตรการป้องกันโควิด รวมถึงการเปิดประเทศซึ่งช่วยกระตุ้นการท่องเที่ยวและกิจกรรมทางเศรษฐกิจในภาพรวม โดยคาดว่าภาพการฟื้นตัวดังกล่าวจะดำเนินต่อในช่วงครึ่งปีหลังจากการเพิ่มขึ้นของจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ต่อเนื่อง รวมถึงแรงกดดันต้นทุนเงินเฟ้อที่ทยอยลดลง 

อย่างไรก็ตาม ภาพรวมเศรษฐกิจโลกที่อ่อนแอยังเป็นปัจจัยที่ส่งผลให้ความเสี่ยงเชิงลบของภาคการส่งออกยังคงอยู่ในระดับสูง ทั้งนี้ วิจัยกรุงศรียังคงให้น้ำหนักน้อยต่อโอกาสในการเกิดภาวะถดถอยทางเศรษฐกิจในญี่ปุ่น จากแรงหนุนฝั่งภาคบริการที่คาดว่าจะเข้ามาชดเชยปัจจัยลบดังกล่าว ในส่วนของทิศทางนโยบายการเงิน คาดว่าธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) จะพิจารณายุติการใช้นโยบายการเงินแบบผ่อนคลายพิเศษในช่วงครึ่งปี หลังจากอัตราเงินเฟ้อที่ปรับขึ้นสูงกว่าระดับเป้าหมายของ BOJ ที่ 2% และเพื่อลดแรงกดดันในตลาดพันธบัตรรัฐบาลญี่ปุ่น

ส่วนทางด้านเศรษฐกิจจีนขยายตัวต่อเนื่องช่วงต้นไตรมาสสอง แต่เติบโตต่ำกว่าตลาด ท่ามกลางปัญหาเชิงโครงสร้างและการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก ในเดือนเมษายน ยอดค้าปลีกและผลผลิตภาคอุตสาหกรรมเติบโต 18.4% และ 5.6% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา เร่งขึ้นจาก 10.6% และ 3.9% ในเดือนมีนาคม ตามลำดับ อัตราการว่างงานลดลงสู่ 5.2% จาก 5.3% ด้าน IMF คาดเศรษฐกิจจีนปีนี้จะเติบโต 5.2% ดีขึ้นจาก 3.0% ในปีที่ผ่านมา โดยจีนจะมีส่วนหนุนอัตราการเติบของเศรษฐกิจโลกถึง 34.9%

ขณะที่เศรษฐกิจไทย ต้องบอกว่าปัจจัยภายนอกและการเมืองในประเทศยังคงกดดันความเชื่อมั่น ขณะที่ภาคท่องเที่ยวชะลอลงเล็กน้อย แต่ยังมีสัญญาณเชิงบวกจากการเพิ่มจำนวนเที่ยวบินจากจีน โดยภาคส่งออกที่หดตัวฉุดความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมลดลงเป็นครั้งแรกในรอบ 4 เดือน ด้านการเมืองยังมีความเสี่ยงที่การจัดทำงบประมาณรายจ่ายปี 2567 จะล่าช้า โดยดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมเดือนเมษายนปรับลดลงสู่ระดับต่ำสุดในรอบ 3 เดือน ที่ 95.0 จาก 97.8 ในเดือนก่อน ปัจจัยลบจากการชะลอตัวของภาคการผลิตซึ่งมีวันหยุดต่อเนื่องในช่วงเทศกาลสงกรานต์ ประกอบกับอุปสงค์ต่างประเทศยังคงอ่อนแอ สะท้อนจากดัชนีคำสั่งซื้อและยอดขายต่างประเทศปรับตัวลดลงต่อเนื่อง ขณะเดียวกันความเชื่อมั่นด้านต้นทุนประกอบการยังอยู่ในระดับต่ำ เนื่องจากผู้ประกอบการมีความกังวลเกี่ยวกับการเพิ่มขึ้นของราคาพลังงาน โดยเฉพาะค่าไฟฟ้า และดอกเบี้ยที่ปรับเพิ่มขึ้น ซึ่งจะกระทบต่อต้นทุนการผลิต

ทั้งนี้ จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติแผ่วลงในช่วงต้นเดือนพฤษภาคม แต่ในช่วงครึ่งหลังของปีคาดว่าจำนวนนักท่องเที่ยวที่เร่งตัวขึ้นจะเป็นปัจจัยหลักหนุนการเติบโตของเศรษฐกิจไทย นักท่องเที่ยวจีนยังฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป แต่ก็มีแนวโน้มจะเพิ่มมากขึ้น วิจัยกรุงศรีคาดจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติจะเพิ่มขึ้นสู่ 14.5 ล้านคนในช่วงครึ่งปีหลัง จาก 12.5 ล้านคนในช่วงครึ่งปีแรก.

 

รุ่งนภา สารพิน

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ผ่าแผนรับมือรถติดสร้างสายสีส้ม

จากการที่รถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) ในฐานะผู้อำนวยการโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม ช่วงบางขุนนนท์-ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย เตรียมจัดการจราจรเพื่อดำเนินงานก่อสร้างโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม

เปิดขุมทรัพย์จากพฤติกรรมสุดขี้เกียจ

เชื่อหรือไม่ว่า มีคนจำนวนไม่น้อยที่กดสั่งอาหารผ่านแอปพลิเคชันเดลิเวอรี ทั้งที่ร้านอยู่ใกล้แค่ใต้คอนโดฯ สั่งซื้อของจากร้านสะดวกซื้อทั้งที่ร้านอยู่แค่ฝั่งตรงข้าม หรือยอมจ่ายเงินจ้างคนไปต่อคิวเพื่อซื้อของ ทำธุระ

สงครามการค้าเวอร์ชัน 2.0

อย่างที่ทราบกันดีว่า ผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐล่าสุด ผู้ชนะก็คือ นายโดนัลด์ ทรัมป์ ตัวแทนจากพรรครีพับลิกัน ซึ่งคว้าชัยแบบทิ้งห่างคู่แข่งอย่างนางกมลา แฮร์ริส ตัวแทนจากพรรคเดโมแครต

แห่ส่งเสริมนวัตกรรมพลิกโลก

เทคโนโลยีอินเตอร์เน็ต ออฟ ติงส์ หรือ IoT(ไอโอที) เป็นหนึ่งในเทคโนโลยีสำคัญในยุคสมัยนี้ที่เข้ามาเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตของคนในยุคปัจจุบันเป็นอย่างมาก เพราะเป็นนวัตกรรมที่ทำให้การสื่อสารระหว่างมนุษย์และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ไร้รอยต่อยิ่งขึ้น

OCAแก้วิกฤตพลังงานไทย

ปัจจุบันปริมาณสำรองก๊าซของไทยลดลงอย่างต่อเนื่องจนเข้าขั้นวิกฤต ส่งผลให้ต้องนำเข้าก๊าซ LNG ในราคาที่ผันผวนเพิ่มมากขึ้น มีผลกระทบต่อค่าไฟฟ้าที่สูงขึ้นของประชาชนและรายได้งบประมาณของรัฐลดลง

แอ่วเหนือ...คนละครึ่งบูมเศรษฐกิจ

จากสถานการณ์อุทกภัยในช่วงที่ผ่านมา ได้ส่งผลกระทบต่อการท่องเที่ยวในหลายพื้นที่ของภาคเหนือ โดยเฉพาะในจังหวัดเชียงรายและเชียงใหม่ ทั้งในแง่ของการคมนาคม เดินทางเข้าสู่พื้นที่และความเสียหายต่อแหล่งท่องเที่ยว