อตัมมยตาประทีป!!!

โดย วัย และ สังขาร และอาจบวก ความเป็นไปของบ้านเมืองและของโลก เข้าไว้อีกด้วย...เลยหนีไม่พ้นต้องหันไปคว้าหนังสือปกแข็งเรื่อง อตัมมยตาประทีป ของอภิมหาพระ ท่านพุทธทาสภิกขุ มาอ่านเป็นรอบที่ 5 ที่ 6 ไปแล้วหรือไม่? อย่างไร? ก็ลืมนับจำนวนความซ้ำ ความถี่ แต่ก็ถือเป็นอะไรที่เหมาะแก่กาล สถานที่ และโอกาส เป็นอย่างยิ่ง...

คือเป็น คำเทศนา ของท่านอาจารย์ พุทธทาสฯ ขณะยังมีชีวิตอยู่ ตั้งแต่เมื่อ 30-40 ปีที่แล้ว หรือตั้งแต่ครั้งพวกฝรั่งมังค่าที่สนอก-สนใจพระพุทธศาสนา เขาแห่มานั่งฟัง ณ ที่ สวนโมกข์นานาชาติ ช่วงปีพุทธศักราช 2531-2532 โน่นเลย

ส่วนจะฟังแล้ว เข้าถึง-เข้าใจ มาก-น้อยขนาดไหน คงไม่ใช่เรื่องสำคัญมากมายซักเท่าไหร่ เพราะสิ่งที่ถือเป็น หัวใจ ของการเทศน์ การชี้แนะ ชี้นำ ในทางศาสนาของท่านอาจารย์ พุทธทาสฯ เที่ยวนี้ ก็คือการไปหยิบเอาคำพูด คำจา ที่อาจถือเป็น แก่น ของพุทธศาสนา เป็นจุดหมาย ปลายทาง หรือเป็นข้อสรุปรวบยอดแห่งการค้นพบ การ ตรัสรู้ ของพระศาสดา พระสัมมาสัมพุทธเจ้า มาเปิดเผย ตีแผ่ ให้เห็นกันแบบจะจะ...

และนั่นก็คือ...สิ่งที่เรียกว่า อตัมมยตา นั่นแหละสหาย!!! อันเป็นสิ่งอภิมหาพระอย่างอาจารย์ พุทธทาสฯ ท่านพยายามถอดความ แปลความ ให้ฟังเข้าใจง่ายๆ จากคำแปลภาษาบาลีมาเป็นภาษาไทยว่า ความไม่สำเร็จมาจากสิ่งนั้นๆ หรือความที่ไม่ต้อง ขึ้นอยู่ กับ ปัจจัย นั้นๆ อีกต่อไป กลายเป็น ภาษาชาวบ้านๆ ที่อาจนำมาใช้เป็นคำพูด คำอุทาน คำท่องบ่น อธิษฐาน ภาวนา หรือเป็น คาถาศักดิ์สิทธิ์ สำหรับใครต่อใครเอาเลยก็ว่าได้ ด้วยคำว่า กู...ไม่เอากับมึงแล้วโว้ย!!! หรือไม่คิดจะเอากับ ปัจจัย ใดๆ อันจะนำมาซึ่ง การปรุงแต่ง อีกต่อไป ไม่ว่าสิ่งนั้นจะเป็นชื่อเสียง เงินทอง อำนาจ วาสนา ความอยากได้ ใคร่ดี ความหิว ความกระหาย ชัยชนะ-ความพ่ายแพ้ หรือแม้กระทั่งความดี-ความเลว ฯลฯ ชนิดไม่ว่าอะไรต่อมิอะไรก็เถอะ ถ้าลองเป็นสิ่งที่สัมผัสได้ รับรู้ได้ ด้วยหู-ตา-จมูก-ลิ้น-กาย-ใจ สิ่งที่สามารถก่อให้เกิดการ ปรุงแต่ง เมื่อเข้ามากระทบกับประสาทสัมผัสทั้ง 6 ล้วนแล้วแต่พึงต้อง กู...ไม่เอากับมึงแล้วโว้ย ไปด้วยกันทั้งสิ้น ทั้งพวง...

ต้องหาช่อง หาทาง ที่จะอยู่ เหนือไปจากการปรุงแต่ง ทั้งหลาย ไม่ว่าตั้งแต่ระดับรากฐาน หรือระดับ กิเลสพื้นๆ-ง่ายๆ ไปจนถึงระดับสูงๆ ขึ้นไป ถึงขั้น เทวดา ขั้น พรหม ก็ยังต้อง กู...ไม่เอากับมึงแล้วโว้ย ไล่ไปตามลำดับ จนกว่าจะถึงขั้นไม่หลงเหลือ ตัวตน ใดๆ อีกต่อไป เหลืออยู่เพียง ตัวตนที่ไม่ใช่ของตน ไม่ใช่ ตัวกู-ของกู ไม่ว่าในระดับใด สถานะใด อันนั้นนั่นแหละ...ถึงจะถือเป็นการบรรลุจุดหมาย ปลายทาง บรรลุถึงเป้าหมายสุดยอดแห่งแก่นสาระพระพุทธศาสนา จนอาจไปไกลถึงขั้นที่ ไม่เกิด-ไม่ตาย-ไม่เป็น-ไม่มีอะไรปรุงแต่ง ฯลฯ บรรลุถึงซึ่งความเป็น อรหันต์ ซึ่ง นิพพาน ไปตามกฎแห่ง ธรรมชาติ อีกชนิดหนึ่ง ที่อยู่เหนือไปจาก ธรรมชาติแห่งการปรุงแต่ง ทั้งหลาย...

ส่วนจะจริง-ไม่จริง...เชื่อ-ไม่เชื่อ ก็ลองไปหาช่อง หาทาง หาวิธีทดสอบ ทดลอง ดูเอาเองก็แล้วกัน แต่ที่แน่ๆ ก็คือคำชี้แนะ ชี้นำของอาจารย์ พุทธทาสฯ เมื่อ 30-40 ปีที่แล้ว โดยสีสัน บรรยากาศ ต้องเรียกว่า...ออกจะเป็น คนละเรื่อง-คนละม้วน กับ ความเป็นไปของบ้านเมืองและของโลก ในยุคสมัยปัจจุบัน แบบชนิดไม่ต่างไปจาก หลังตีนกับหน้ามือ เอาเลยก็ว่าได้ เพราะยิ่งนานวัน...อะไรต่อมิอะไรในโลก หรือในบ้านนี้-เมืองนี้ ดูจะหนักไปทาง กู...ต้องเอากับ...มึง ต้องหันไปเลือกข้างเลือกฝ่าย เพื่อให้ กู พอที่จะเกิดขีดความสามารถในการเล่นงาน มึง ให้จงได้!!! อันส่งผลให้เกิดการ ปรุงแต่ง ที่สุดแสนสลับซับซ้อน ยอกย้อน ซ่อนเงื่อน เพื่อนทรยศ ยิ่งๆ ขึ้นไป จนแทบแยกแยะไม่ได้ ว่าอะไรถูก-อะไรผิด อะไรจริง-อะไรเท็จ อะไรดี-อะไรชั่ว อะไรควร-ไม่ควร ฯลฯ ทั่วทั้งสองข้าง-สองฝ่าย ทั่วทุกสิ่งทุกอย่างที่หันมาจับตัวกันเป็นคู่ๆ เป็นฝ่ายๆ นั่นแล...

ดังนั้น...ไม่ว่าอะไรดี-อะไรชั่ว อะไรถูก-อะไรผิด อะไรชนะ-อะไรแพ้ ฯลฯ สุดท้ายแล้ว...ย่อมมีแต่ต้องเปลี่ยนแปรไปตาม เหตุปัจจัย ย่อมเป็นไปตามกฎอนิจจลักษณะ หรือเป็นไปตามแบบฉบับ อนิจจัง-ทุกขัง-อนัตตา เป็นไปตามกฎเหล็กธรรมชาติแห่งการปรุงแต่ง เป็นเพราะ ด้วยเหตุเพราะสิ่งนี้-สิ่งนี้...สิ่งนี้จึงเป็นไป เป็น ตถาตา เป็นเช่นนั้นเอง เป็นพรรค์นั้นแหละ หรือเป็นตัวนำมาซึ่งความถูกใจ-ไม่ถูกใจ ชอบใจ-ไม่ชอบใจ นำมาซึ่งความเกลียด-ความรัก ความโกรธเกลียดเคียดแค้น อาฆาตพยาบาท ริษยาและชิงชัง ฯลฯ นำไปสู่ สงคราม ชนิดแทบไม่ได้หลงเหลือกลิ่นอายแห่ง สันติภาพ ใดๆ ไว้เลย หรือเป็นสีสัน บรรยากาศ ที่ชักจะก่อให้เกิดอารมณ์-ความรู้สึกแบบ กู...ไม่เอากับมึงแล้วโว้ย!!! ยิ่งเข้าไปทุกที...

ด้วยเหตุนี้นี่เอง...การหยิบเอาเรื่อง อตัมมยตาประทีป กลับมาอ่านเป็นครั้งที่ 5 ครั้งที่ 6 จึงเป็นอะไรที่สอดคล้อง เหมาะสมกับวัยและสังขาร กับความเป็นไปของบ้านเมืองและของโลกเป็นอย่างยิ่ง โดยแม้ว่าจะไม่ได้ก่อให้เกิดหนทาง ช่องทาง ที่จะบรรลุถึงซึ่ง นิพพาน ซึ่งสุดยอดแห่งแก่นสาระความเป็นพุทธศาสนาก็ตาม แต่แค่ได้นึกถึงเสียงพูด เสียงตะโกน เสียง เตือนสติ ของอภิมหาพระ อย่าง พุทธทาสภิกขุ ดังมาจากสวรรค์ชั้นฟ้า หรือ ณ ที่แห่งหนึ่ง แห่งใด ก็แล้วแต่ ว่า กู...ไม่เอากับมึงแล้วโว้ย!!! เพียงแค่นี้...ก็พอช่วยให้เกิดความสงบ ความเย็น ความสว่าง สะอาด หรือเกิดอารมณ์-ความรู้สึกถึงสิ่งที่เรียกว่า สันติภาพ อุบัติขึ้นมารางๆ แม้เพียงแค่เล็กๆ-น้อยๆ ก็ยังดี....

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

“ความจริง”เครื่องมือชิ้นสุดท้ายในห้วง“กลียุค”

นอกจากคนอินตะระเดียยุคโบร่ำโบราณ...ท่านจะแบ่งห้วงเวลาของแต่ละยุค ออกเป็น 4 ช่วง 4 ระยะ เริ่มจาก กฤตยายุค หรือ สัตตยายุค ที่บรรดาความดี-ความงาม-ความจริง ต่างมีอยู่ครบถ้วนสมบูรณ์ไปทั้ง 4 ส่วน

มติ 'ก.พ.ค.ตร.'

มีสัญญาณให้จับตา ต้นเดือนสิงหาที่กำลังจะมาถึงในอีกไม่กี่วัน ปมปัญหาเรื่องสถานะ บิ๊กโจ๊ก-พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. ภายหลังจากคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ (ก.ตร.)

อริยสัจ 4...หลักการดีที่ควรใช้

ประเทศไทยเป็นประเทศที่มีผู้คนนับถือศาสนาพุทธมากกว่า 92% และในคำสอนของศาสนาพุธก็มีอริยสัจ 4 เป็นหลักที่ใช้ในการแก้ปัญหาที่ยุ่งเหยิงไปสู่ความสงบ

โชคดี...ที่ตายก่อน!!!

เห็นข่าวคราวว่าด้วย หลานสาว ชาวไทยรายหนึ่ง...ซึ่งน่าจะเป็นปุถุชนคนธรรมดา ไม่ได้โดดเด่น โด่งดัง ใดๆ มาก่อนเลย แต่เมื่อเธอโพสต์คลิปวิดีโอ โดยตัวเธอเองนั่ง