ผมหวังว่าแฟนคอลัมน์ทุกท่านได้พักผ่อนเต็มที่ในช่วงหยุดยาว ไม่ว่าจะเดินทางต่างจังหวัด ต่างประเทศ หรืออยู่ในบ้าน ขอให้ทุกท่านได้ชาร์จแบตเต็มที่ครับ
หลังๆ นี้ ผมมักจะถูกถามอยู่ไม่กี่คำถามครับ คำถามแรกคือ “งวดนี้ไม่ลงเหรอ?” ซึ่งผมมีเหตุผลของผมว่า ทำไมครั้งนี้ผมไม่ลงเลือกตั้ง คำถามถัดมาคือ “ยังอยู่อินโดฯ อยู่ไหม?” ซึ่งผมก็ต้องตอบทุกครั้งว่า “เปล่าครับ ผมกลับมาอยู่เมืองไทยมา 3 ปีกว่าแล้ว” ซึ่งคำถามต่อไปคือ “แล้วตอนนี้ทำอะไรล่ะ?”
ตั้งแต่ช่วงเดือนเมษายน ปี 2020 ซึ่งเป็นช่วงริเริ่ม Covid-19 ที่โลกหยุดหมุนชั่วคราว
ผมได้รับโอกาสมาเป็น Country Director ให้กับบริษัท Vriens and Partners (เรียก VP สั้นๆ ดีกว่า) ซึ่งสำนักงานใหญ่อยู่ที่สิงคโปร์ครับ ถามว่า VP ทำอะไร? ทาง VP เป็นบริษัททำหน้าที่ Government Affairs Consultation ให้กับบริษัทข้ามชาติ
ยกตัวอย่าง บริษัทยักษ์ใหญ่ระดับโลก (หรือไม่ต้องยักษ์ใหญ่ก็ได้) อยากทำกิจกรรมหรือเปิดกิจการใหม่ในประเทศไทย แต่ไม่คุ้นเคยกับระบบราชการ กฎระเบียบ กฎกระทรวง หรือกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับเรื่องของเขา เขาจะมาหาพวกเรา เพื่อให้เราให้คำแนะนำ ให้แนวทาง ให้คำชี้แนะ และบางครั้งวางยุทธศาสตร์ วิธีคุยกับหน่วยงานของรัฐ ควรจะคุยอะไร คุยกับใคร และคุยอย่างไรเพื่อมีประสิทธิภาพ ประสิทธิผลที่สุด
ผมบอกได้เลยว่า ทำงานอยู่ตรงนี้ 3 ปีเต็ม จากที่ผมเคยเข้าใจว่าเจ้าหน้าที่ระดับสูงของบริษัทข้ามชาติจะต้องเก่งทุกคน จะต้องมีความสามารถทุกคน และต้องเป็นมืออาชีพสุดยอด พอได้สัมผัสกับเขาเต็มๆ มีคนไม่ได้เรื่องมากกว่าคนเก่งครับ ไม่ต่างกว่าหน่วยงานรัฐ ที่มีคนเก่งอยู่มาก แต่ไม่เก่งอยู่เยอะกว่า ผมเล่าให้เพื่อนนักการเมืองฝั่งว่า ที่เราเคยคิดกันว่าทำงานภาคเอกชนในบริษัทข้ามชาติจะต้องเก่งทุกคน หรืออย่างน้อยเก่งกว่าพวกเราที่อยู่การเมืองแน่ๆ พอเจอกับตัว ผมบอกเลยว่า มันไม่จริง
เอาเถอะ เรื่องนั้นพักไว้ก่อน ไว้ผมเคยเล่าโอกาสหน้าก็แล้วกัน สิ่งหนึ่งที่ผมพบเจอเมื่อเข้ามาอยู่ในแวดวง Consultancy ยิ่งเฉพาะ Government Affairs Consultancy คือมีอยู่หลายอย่างในโลกนี้ ที่ผมไม่รับรู้และไม่เคยรู้เรื่องมาก่อน ผมบอกเลยว่าแวดวงนี้จะทำให้คุณรู้เลยว่า คุณคิดว่าตัวเองแน่แค่ไหน คิดว่าตัวเองรู้เรื่องเยอะแค่ไหน มันยังมีเรื่องหลายเรื่องที่ตัวเองไม่รู้เรื่อง และยังมีอาชีพ หลากหลายอาชีพที่ไม่เคยรู้ และไม่เคยคุ้นมาก่อน สำหรับใครที่อยากหาความรู้ใหม่ๆ ตลอดเวลา ลองมาทำงานในด้าน Consultant ดูครับ จะทำให้คุณเข้าใจโลกมากขึ้น และทำให้กะลาที่พวกเราอยู่กันนั้นกว้างขึ้น
เรื่องที่เกิดขึ้นในรัฐเท็กซัสเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ป็นตัวอย่าง เรื่องที่ผมไม่เคยรู้ว่าในโลกใบนี้มี นั่นคือเรื่องของการทำแท้ง ยิ่งเฉพาะการทำแท้งด้วยยา หรือที่เรียกกันว่า Medical abortion ซึ่งเรื่องการทำแท้งเป็นหนึ่งในไม่กี่เรื่องที่ทำให้สังคมเลือกข้างอย่างชัดเจน ต่างฝ่ายต่างมีเหตุผลต่างๆ นานา ที่จะลบล้างเหตุผลอีกฝ่ายหนึ่ง และต่างฝ่ายต่างมีอารมณ์ในการถกเถียง ที่จะทำให้ตะโกนดังกว่าอีกฝ่ายหนึ่งด้วยซ้ำ ซึ่งตัวผมเองไม่คัดค้านการทำแท้ง ผมถือว่าเป็นสิทธิของผู้อุ้มท้องที่จะตัดสินใจ ถ้าเขายอมรับผลในการตัดสินของเขา ผมคิดว่าไม่มีใครมีสิทธิห้ามเขาได้
ศาลในรัฐเท็กซัสวินิจฉัยว่า ยากินสำหรับการทำแท้งที่ใช้กันเป็นเวลากว่า 20 ปีนั้น ไม่ปลอดภัยและไม่ควรใช้ต่อไป ทางศาลวินิจฉัยว่า ที่ทาง Food and Drug Administration (หรือ FDA) ของสหรัฐ อนุญาตให้วางขายได้เมื่อ 22 ปีที่แล้วนั้น เป็นการตัดสินใจที่ผิด หรือพูดง่ายๆ ครับ ทางศาลในรัฐเท็กซัสมีความเห็นว่า ที่ FDA อนุมัติเมื่อ 22 ปีที่แล้ว มันโมฆะ
แต่ทางศาลยังเปิดช่องว่าง โยนเผือกร้อนให้กับศาลอุทธรณ์ต่อ ซึ่งทางศาลอุทธรณ์มีความเห็นว่า ยาดังกล่าวไม่ผิดกฎหมาย ยังสามารถขายได้ แต่จะไม่ง่ายเหมือนเมื่อก่อน ตอนนี้ก็กำลังส่งเรื่องต่อถึงศาลฎีกา ว่าศาลจะตัดสินอย่างไรเกี่ยวกับอนาคตของยาทำแท้ง ว่าควรยึดหลักการอนุมัติการใช้ยานี้ได้จาก FDA เมื่อ 22 ปีที่แล้ว หรือเห็นว่าการอนุมัติเมื่อ 22 ปีที่แล้วโมฆะ
ยาที่เป็นประเด็นมีชื่อว่า Mifepristone ยานี้ทำหน้าที่ไม่ให้ฮอร์โมน Progesterone เกิดขึ้นได้ ในการตั้งครรภ์ต้องมี Progesterone ในท้องของแม่ เพื่อให้ลูกโตในท้องได้ ถ้าไม่มีตัว Progesterone มันยากที่จะรักษาลูกในท้องต่อไป ดังนั้น Mifepristone มีหน้าที่เดียวคือทำลาย Progesterone ให้มากที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ เพื่อทำลายระบบในท้อง
อันนั้นคือขั้นตอนแรกและยาชนิดแรก เมื่อกิน Mifepristone ระยะหนึ่งแล้ว และทำลาย Progesterone ในท้อง ระดับหนึ่ง จะต้องกินยาชนิดที่สองคือ Misoprostol ยาชนิดนี้ทำหน้าที่ “ล้าง” ท้อง ให้ขับไล่ทุกอย่างในท้องออกไปให้หมด ความจริงแล้ว Misoprostol สามารถเป็นยาทำแท้งด้วยตัวเขาเองได้ ซึ่ง “ความสำเร็จ” ในการทำแท้งด้วยยา Misoprostol อย่างเดียวมีเปอร์เซ็นต์สูง และมีผลข้างเคียงน้อย แต่เปอร์เซ็นต์ไม่สูงเท่ากับการใช้ยาทั้ง Mifepristone ตามด้วย Misoprostol
ถามว่าใช้ยาทั้งสองมีความอันตรายสูงแค่ไหน? ตั้งแต่ FDA อนุมัติให้ขาย Mifepristone ได้ จากทุกหนึ่งล้านคนที่ใช้ยานี้ มีผู้เสียชีวิต 5 ราย ถ้าเป็นเปอร์เซ็นต์ขึ้นมาจะอยู่ที่ 0.0005% เลยถือว่าเป็นยาที่ค่อนข้างปลอดภัย แต่ทางศาลที่รัฐเท็กซัสวินิจฉัยว่า FDA ไม่ได้ศึกษายาตัวนี้ (Mifepristone) อย่างรอบคอบ
อนาคตของ Mifepristone จะเป็นเช่นไร ยา Misoprostol ก็ยังจะมีขายต่อไปอยู่ดี เพราะ Misoprostol มีไว้ให้รักษาแผลในกระเพาะอาหารเป็นหลัก
อย่างที่ผมเกริ่นไว้ ตั้งแต่ผมอยู่ VP และทำงานด้าน Government Affairs Consultancy ทำให้ผมรับรู้อะไรในโลกนี้เยอะ แต่สิ่งสำคัญคือ ให้รับรู้ไปเลยว่ามีหลายอย่างในโลกนี้ที่ตัวเองไม่รู้ เรื่องการทำแท้งก็เช่นเดียวกัน ผมไม่เคยรับรู้มาก่อนว่ามียา (อย่างเป็นทางการ) เกี่ยวกับเรื่องการทำแท้งโดยตรง และไม่เคยรู้เลยว่ามีอุตสาหกรรม Medical Abortion ด้วยซ้ำ ถือว่าเป็นความรู้ใหม่ของผมครับ ถ้าจะหาว่าผมอยู่แต่ในโลกสวย…ก็แล้วแต่ครับ.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
President Biden….You’re a Good Dad
ในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมามีสารพัดเรื่องที่น่าสนใจและน่าเขียนถึง เรื่องแรกต้องเป็นเรื่องประกาศกฎอัยการศึกในเกาหลีใต้ เพราะเป็นเรื่องไม่มีวี่แววว่าจะเกิดขึ้น และถือว่าเป็นการประกาศฟ้าผ่าทีเดียว
คุยเรื่อง…ที่ไม่ใช่เรื่อง
เผลอแป๊บเดียว วันนี้เราเข้าเดือนสุดท้ายของปีแล้ว ถือว่าเราเข้าฤดูกาลซื้อของขวัญสำหรับคริสต์มาสและปีใหม่อย่างเป็นทางการ ถึงแม้ตามห้างต่างๆ
'ศาลอาญาระหว่างประเทศ….มีไว้ทำไม?'
เมื่อวันพฤหัสฯ ที่ผ่านมา ศาลอาญาระหว่างประเทศ (International Criminal Court หรือ ICC) ได้ออกหมายจับนายกรัฐมนตรีอิสราเอล Benjamin Netanyahu
'BRO!!!!!'
เกือบ 2 สัปดาห์กับผลการเลือกตั้งในสหรัฐ ที่สร้างความประหลาดใจให้กับคนทั่วไป เว้นบรรดานักวิเคราะห์แม่นๆ….หลังผลออกมา พวกนี้ยังพูดเต็มปากเต็มคำว่า
“ถ้าไม่เลือกเรา...เขามาแน่”...ทำให้เขาชนะขาดลอย
ผมไม่แน่ใจว่ากว่าแฟนคอลัมน์จะได้อ่านบทความนี้ เรื่องที่ผมจะเขียนนั้นมันแห้งเกินไปหรือเปล่า เพราะกว่าจะถึงวันที่ได้อ่านบทความนี้ เรื่องนี้อาจจะเก่าไปแล้วก็ได้
ผมจะไม่แปลกใจถ้าTrumpชนะ….แต่ผมจะแปลกใจถ้าHarrisแพ้
อีกไม่กี่วันข้างหน้าจะได้รู้กันว่าใครจะเป็นผู้นำ “The Free World” ระหว่างอดีตประธานาธิบดี กับอดีตรองประธานาธิบดี