อยู่ดี ๆ ประธานาธิบดีปูตินของรัสเซียก็ประกาศ “ยุทธศาสตร์นโยบายต่างประเทศ” ฉบับใหม่
ขณะที่สงครามยูเครนลากยาวเกิน 400 วันเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา
เรียกมันว่า “ลัทธิปูติน” ก็ไม่น่าจะผิดนัก
แม้เนื้อหาหลัก ๆ จะไม่แตกต่างไปจากจุดยืนของรัสเซียที่ผ่านมามากนัก แต่สาระที่ตอกย้ำใหม่ทำให้ทุกอย่างชัดขึ้น
นั่นคือ “หลักคำสอนใหม่” ของปูตินยืนยันมั่นเหมาะว่าสหรัฐฯ คือศัตรูหมายเลขหนึ่งอย่างปราศจากความสงสัยทั้งสิ้นทั้งปวง
เพราะเอกสารใหม่นี้ระบุ 'แหล่งที่มาหลักของภัยคุกคามต่อความมั่นคงของรัสเซีย”
นั่นคือสหรัฐอเมริกา
และยังย้ำว่าพันธมิตรใกล้ชิดที่สุดคือจีน...และอินเดีย
นักวิเคราะห์บางคนเรียกการประกาศ ยุทธศาสตร์นโยบายต่างประเทศตั้งนี้ว่าเป็นการ “อัปเดตทิศทางและจุดยืนนโยบายต่างประเทศ” ของมอสโก
ที่กล่าวหาว่าวอชิงตันใช้สงครามยูเครนเพื่อทำให้ประเทศที่ 'สงบสุข' อย่างรัสเซียอ่อนแอลง
คำประกาศจากเครมลินนั้นบอกว่านี่คือการนำหลักนโยบายต่างประเทศใหม่มาใช้ ซึ่งระบุว่าสหรัฐฯ เป็น “แหล่งที่มาหลักของภัยคุกคาม” ต่อความมั่นคงของรัสเซีย
ในขณะที่อธิบายว่ารัสเซียเป็น “รัฐอารยธรรมที่โดดเด่น” ที่มาพร้อมกับ “ภารกิจทางประวัติศาสตร์ที่ไม่เหมือนใคร”
เอกสารชุดนี้ถือว่าเป็นการปรับปรุง “หลักคำสอน” ครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 2016
เพื่อสะท้อนถึง “การเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรงในกิจการระหว่างประเทศ”
นั่นคือคำแถลงอย่างเป็นทางการของปูตินต่อที่ประชุมคณะมนตรีความมั่นคงเมื่อวันศุกร์ที่ 31 มีนาคมที่ผ่านมา
สำทับด้วยคำอธิบายจากรัฐมนตรีต่างประเทศเซอร์เกย์ ลาฟรอฟที่ประกาศว่ารัสเซียกำลังเผชิญกับ “ภัยคุกคามที่มีอยู่” จาก “ประเทศที่ไม่เป็นมิตร”
หลักใหญ่ใจความของ “ลัทธิปูติน” ชุดใหม่นี้คือการอธิบายว่าสหรัฐฯ เป็น “แหล่งที่มาหลัก” ของภัยคุกคามด้านความมั่นคงต่อรัสเซีย
และพาดพิงถึง “ยุคแห่งการเปลี่ยนแปลงเชิงปฏิวัติ” ไปสู่ “โลกหลายขั้วที่ยุติธรรมมากขึ้น”
คำว่า “โลกหลายขั้ว” (Multipolar World) เป็นวลีที่มุ่งสะท้อนถึงอำนาจที่เพิ่มขึ้นของจีนภายใต้ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง
เพราะต้องไม่ลืมว่าก่อนหน้านี้ไม่นานปูตินและสีตกลงที่จะเป็น “หุ้นส่วนแบบไม่มีขีดจำกัด”
จังหวะการแถลงร่วมตอนนั้นเกิดขึ้นไม่กี่สัปดาห์ก่อนที่ประธานาธิบดีรัสเซียจะสั่งบุกยูเครนอย่างเต็มรูปแบบเมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ของปีที่แล้ว
แม้ว่ามอสโกจะเปิดสงครามรุกรานเพื่อนบ้าน แต่เอกสารนโยบายก็ย้ำว่ารัสเซียเป็นสังคมที่ว่า “สงบ เปิดเผย และคาดเดาได้”
โดยกล่าวหาว่าสหรัฐฯ อ้าง “ปฏิบัติการทางทหารพิเศษ” ของรัสเซียในยูเครนเพื่อเป็นข้ออ้างในการเปิด “สงครามลูกผสม” ที่มีเป้าหมายเพื่อ “ทำให้รัสเซียอ่อนแอและแตกเป็นเสี่ยง”
ในช่วงไม่กี่สัปดาห์มานี้ มอสโกได้เพิ่มความตึงเครียดกับสหรัฐฯ และพันธมิตรอย่างเห็นได้ชัด
เมื่อต้นเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ปูตินสั่งให้รัสเซียประจำการอาวุธนิวเคลียร์ทางยุทธวิธีในเบลารุสภายในฤดูร้อนนี้
และสัปดาห์ที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ด้านความมั่นคงของรัสเซียควบคุมตัว Evan Gershkovich นักข่าวของ Wall Street Journal แห่งสหรัฐฯ ที่ประจำอยู่ในมอสโก ด้วยข้อหาจารกรรม
อเล็กซานเดอร์ ลูกาเชนโก ผู้นำเบลารุสบอกว่า เขากำลังหารือเกี่ยวกับการติดตั้งอาวุธนิวเคลียร์ทางยุทธศาสตร์ในดินแดนของตนกับรัสเซีย
Lukashenko บอกกับรัฐสภาเบลารุสว่าเขาได้เริ่มการเจรจากับปูตินเกี่ยวกับ “การส่งคืนอาวุธนิวเคลียร์ที่ถูกถอนออกไปในทศวรรษที่ 1990 ให้กับเบลารุส”
“เราจะไม่หยุดยั้งเพื่อปกป้องประเทศและประชาชนของเรา” เขาย้ำ
นักวิจัยอาวุโสด้านอาวุธทำลายล้างสูงแห่งสถาบันวิจัยการลดอาวุธแห่งสหประชาชาติคนหนึ่งวิเคราะห์ว่าการที่เบลารุสจะได้รับอาวุธนิวเคลียร์ทางยุทธศาสตร์จากรัสเซียนั้น “ไม่น่าจะสมเหตุสมผลทางด้านยุทธศาสตร์”
เพราะเขามองว่าการเคลื่อนย้ายอาวุธที่มีพิสัยข้ามทวีปออกจากรัสเซียไม่ได้สร้างความได้เปรียบทางด้านยุทธศาสตร์สงครามสำหรับรัสเซียมากนัก
“อาวุธทางยุทธศาสตร์มีค่ามหาศาล และมักจะประจำการอย่างน้อย 300-400 กิโลเมตรจากชายแดนทางบกที่ใกล้ที่สุดเพื่อหลีกเลี่ยงอุบัติเหตุ” คือเหตุผลที่นักวิเคราะห์มองความเคลื่อนไหวล่าสุดของรัสเซียในเบลารุส
ในขณะที่กลยุทธ์นโยบายต่างประเทศใหม่ของรัสเซียยอมรับบทบาทของสหรัฐฯ ในฐานะ "ศูนย์กลางการพัฒนาที่ทรงอิทธิพล"
แต่ก็แสดงให้เห็นวอชิงตันเป็น "ผู้จัดตั้งและผู้ดำเนินนโยบายต่อต้านรัสเซียของกลุ่มตะวันตก"
ตามแนวคิดนี้ จีนและอินเดียถูกมองว่าเป็น “ศูนย์กลางอำนาจอธิปไตยที่เป็นมิตรกันทั่วโลก”
ซึ่งมีมุมมองเดียวกับรัสเซียเกี่ยวกับ “ระเบียบโลกในอนาคต”
อิหร่าน ตุรกี ซาอุดีอาระเบีย และอียิปต์ ถูกมองว่าเป็นพันธมิตรสำคัญเช่นกัน
ปูตินมองโลกวันนี้ละม้ายกับที่อดีตผู้นำสหภาพโซเวียตสตาลิน เคยแบ่งโลกเป็น “เขตอิทธิพล” ของตนและของฝ่ายตรงกันข้าม
นั่นคือวิธีคิดในยุค “สงครามเย็น” ที่โลกถูกแบ่งเป็น “เขตอิทธิพลตะวันตก” และ “เขตอิทธิพลสหภาพโซเวียต”
แต่นั่นเกิดขึ้นก่อนจีนจะผงาดขึ้นมาเป็นมหาอำนาจอันดับสองรองจากสหรัฐฯ...และแซงหน้ารัสเซีย
แม้ความสัมพันธ์ระหว่างจีน-รัสเซียจะใกล้ชิดกันมากขึ้น แต่โฆษกของเครมลิน ดมิทรี เปสคอฟ ก็แสดงความกังขาต่อแผนสันติภาพที่คาดคะเนสำหรับสงครามในยูเครนที่เสนอโดยปักกิ่ง
เปสคอฟบอกว่าแผนของจีนมีเนื้อหาที่ "ไม่สามารถบรรลุผลได้" เพราะท่าทีไม่เป็นมิตรของยูเครน
ตามหลักการใหม่นี้ รัสเซียมี "ภารกิจพิเศษ" ในการรักษาดุลอำนาจทั่วโลกและสร้างระบบระหว่างประเทศหลายขั้ว
เอกสารทางการชุดนี้อ้างถึงรัสเซีย ไม่ใช่แค่ในฐานะรัฐ แต่เป็น "อารยธรรม" ยิ่งใหญ่ของโลกทีเดียว
ทำให้ย้อนคิดถึงสิ่งที่ปูตินพูดมาตลอดว่าเขาจะต้องกู้สถานภาพของรัสเซียวันนี้ให้กลับไปรุ่งเรืองยิ่งใหญ่เหมือนจักรวรรดิรัสเซียในอดีต
เพราะปูตินยัง “ฝังแค้น” ที่สหภาพโซเวียตล่มสลายในปี 1991 ขณะที่เขาทำงานเป็นเจ้าหน้าเคจีบีอยู่ที่เยอรมันตะวันออกในขณะนั้น
ปูตินย้ำเสมอว่านั่นคือจังหวะเวลาที่เขาหัวใจสลายเพราะเห็นความยิ่งใหญ่ของสหภาพโซเวียตพังครืนต่อหน้าต่อตา
ปูตินถือเป็นภารกิจที่จะต้องเขียนประวัติศาสตร์บทใหม่วันนี้ให้รัสเซียกลับมายิ่งใหญ่และเกรียงไกร
การทำสงครามดูเหมือนจะเป็นส่วนสำคัญของภารกิจนี้
และนั่นคือเหตุที่จะต้องเกาะติดวิธีคิดและแผนปฏิบัติของปูตินอย่างใกล้ชิดและต่อเนื่องจากนี้ไป
เพราะไม่มีใครบอกได้ว่า “ลัทธิปูติน” ใหม่นี้จะนำโลกไปสู่ความขัดแย้งเพิ่มขึ้นอย่างไรหรือไม่
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
มีแม้วไม่มีเรา! วัดใจจุดยืน 'พรรคส้ม' หลังทักษิณขีดเส้นแบ่งข้างทุกเวทีแล้ว
นายสุทธิชัย หยุ่น สื่อมวลชนอาวุโส โพสต์เฟซบุ๊กว่า "พรรคส้มกล้าไหม? มีแม้วไม่มีเรา!
ประเทศเดียวในโลก ‘นายกฯทับซ้อน’ มหันตภัยปี 2568
นายสุทธิชัย หยุ่น สื่อมวลชนอาวุโส โพสต์เฟซบุ๊กว่าสำนักวิจัยต่าง ๆ กำลังวิเคราะห์เพื่อพยากรณ์ว่าประเทศไทยจะต้องเผชิญกับความท้าทายสาหัสอะไรบ้างใน
‘หยุ่น’ ฟันเปรี้ยงรอดยาก! ชั้น 14 ดิ้นอย่างไรก็ไม่หลุด
นายสุทธิชัย หยุ่น สื่อมวลชนอาวุโส โพสต์เฟซบุ๊กว่า เรื่องชั้น 14 จะดิ้นอย่างไรก็หลุดยาก จึงเห็นการเฉไฉ, ตีหน้าตาย
บิ๊กเซอร์ไพรส์ 'สุทธิชัย หยุ่น' เล่นซีรีส์ 'The White Lotus ซีซั่น 3'
เรียกว่าสร้างความเซอร์ไพรส์อย่างต่อเนื่อง สำหรับซีรีส์ The White Lotus ซีซั่น 3 ซึ่งจะสตรีมผ่าน Max ในวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2025 เพราะนอกจากจะมี ลิซ่า-ลลิษา มโนบาล หรือ ลิซ่า BLACKPINK ไอดอลเกาหลีสัญชาติไทย ที่กระโดดลงมาชิมลางงานแสดงเป็นครั้งแรก ในบทของ มุก สาวพนักงานโรงแรม
ถามแสกหน้า 'ทักษิณ' จะพลิกเศรษฐกิจไทยยังไง ทุกซอกมุมในสังคมยังเต็มไปด้วยทุจริตโกงกิน
นายสุทธิชัย หยุ่น นักวิเคราะห์ข่าวและผู้ดำเนินรายการข่าวชื่อดัง โพสต์เฟซบุ๊ก ถึงกรณีนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ว่า “เขาจะพลิกประเทศไทยให้เศรษฐกิจล้ำโลกได้หรือ
เขตเศรษฐกิจพิเศษชายแดนที่กลายเป็น ที่ซ่องสุมของอาชญากรรมข้ามชาติ
เมื่อวานเขียนถึงรายงานในสำนักข่าวชายขอบที่สำนักจะได้รับความสนใจของรัฐบาลไทยว่าด้วยกิจกรรมอาชญากรรมข้ามชาติในบริเวณ “เขตเศรษฐกิจพิเศษ” ที่สามเหลี่ยมทองคำ