ถ้าสหรัฐฯ ออก GPT-4 ได้ จีนก็ย่อมรอช้าไม่ได้ ดังนั้นเราจึงเห็น Baidu ของจีนเปิดตัว Ernie Bot เมื่อไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมาเพื่อประกบแข่งกับ GPT-4 ดูเหมือนความพยายามครั้งแรกของ Baidu จะไม่น่าประทับใจนัก
แต่ผมเชื่อว่าจีนจะไม่หยุดแค่นี้
สงคราม AI ระหว่างสองมหาอำนาจจะเพิ่มความเข้มข้นต่อไปอย่างแน่นอน
Robin Li ผู้ร่วมก่อตั้งและซีอีโอของ Baidu เปิดตัว Ernie Bot แล้วก็ยอมรับว่า การสาธิตครั้งแรกไม่สร้างความประทับใจแก่นักลงทุนนัก
คนทั่วไปยังพยายามทำความเข้าใจกับทั้งสองยี่ห้อนี้ว่าใครเด็ดกว่าใครกันแน่
นักข่าวคนหนึ่งที่ติดตามเรื่องนี้อย่างใกล้ชิดรายงานว่า เพื่อสร้างความเข้าใจให้แจ่มชัด เขาจึงได้ลงมือรีวิวเปรียบเทียบเอง
นักข่าวคนนี้ทำการทดสอบ app ทั้งสองแบบเคียงข้างกัน เขาเล่าว่า
“ผมนั่งลงเปรียบมวยของทั้งสองยี่ห้อ โดยตั้งคำถามกับ Ernie และ ChatGPT ตั้งแต่ปัญหาคณิตศาสตร์ไปจนถึงประวัติศาสตร์ ตลอดจนตั้งประเด็นที่มีเนื้อหาปลายเปิด
“โดยรวมแล้วผลงานของ Ernie ก็ไม่ได้เลวร้ายนัก แม้ว่าบางครั้งดูเหมือนว่าจะมีปัญหาในการทำความเข้าใจบริบทของภาษาจีน
แม้ว่า Baidu จะคุยว่าเข้า Ernie มีความเข้าใจวัฒนธรรมจีนดีที่สุด"
ที่น่าจะเด่นชัดที่สุดคือ จุดอ่อนด้านเนื้อหาทางการเมือง เพราะนวัตกรรมใดๆ ของจีนจะต้องเจออุปสรรคเรื่อง “ความละเอียดอ่อนทางการเมือง” อย่างปฏิเสธไม่ได้
ไม่ใช่ความผิดของ AI หากแต่เมื่อ “ปัญญาประดิษฐ์” ไม่ได้รับข้อมูลที่ครบถ้วนและตรงไปตรงมา มันก็ไม่สามารถจะแสดงความ “เก่งกาจสามารถ” ในหัวข้อนั้นๆ ได้
ในยุคต้นๆ ของคอมพิวเตอร์จึงมีสัจธรรมประโยคหนึ่งว่า “ป้อนขยะเข้า ก็ได้ขยะออกมา” (Garbage in, garbage out) นั่นแหละ
พอป้อนคำถามให้ Ernie ตอบเกี่ยวกับการเมืองจีน หรือว่าด้วยประธานาธิบดีสี จิ้นผิง มันก็ตอบว่า "ในฐานะโมเดลภาษาปัญญาประดิษฐ์ ฉันไม่สามารถตอบคำถามนั้นได้"
ส่วน ChatGPT มีข้อมูลในหัวข้อทางการเมืองอย่างไม่ต้องสงสัย เพราะมีการป้อนข้อมูลเข้าไปเป็นวัตถุดิบที่มากกว่า
นักข่าวคนนี้บอกว่า เมื่อทดสอบแล้วบางครั้งก็จะต้องซักถามเจาะลึกลงไปอีกจึงได้คำตอบที่พอจะถือได้ว่าอยู่ในเกณฑ์ “ฉลาด” ระดับหนึ่ง
นักข่าวคนนั้นลองหยอดคำถามให้ทั้งสอง app ว่า "ทำไมจีนถึงแก้ไขรัฐธรรมนูญในปี 2018"
โดยจงใจไม่เอ่ยถึงคำว่าสี จิ้นผิง เพื่อไม่ให้ Ernie ต้อง “อึดอัดใจ”
คำตอบของ ChatGPT มาทั้งภาษาอังกฤษและภาษาจีน
มีแนวทางการตอบที่ละม้ายในทั้งสองภาษาว่า
"การแก้ไขรัฐธรรมนูญเป็นมาตรการที่จำเป็นสำหรับจีนในการปรับให้เข้ากับความต้องการในการพัฒนา ปรับปรุงระบบ เสริมสร้างธรรมาภิบาลของประเทศ และปกป้องสิทธิของประชาชน"
นักข่าวคนนั้นไม่หยุดแค่นั้น ป้อนคำถามต่อว่า
"แต่การแก้ไขรัฐธรรมนูญได้ยกเลิกการจำกัดวาระการดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีด้วย นั่นคือส่วนที่สำคัญที่สุดของการแก้ไข ทำไมคุณไม่พูดถึงเรื่องนี้เลย"
ChatGPT ปรับท่าทีของตนอย่างฉับพลัน เหมือนมีอารมณ์กระวนกระวายใจเล็กน้อยด้วย
มันตอบว่า "ฉันขอโทษสำหรับคำตอบแรกที่ดูเหมือนจะถูกกำกับควบคุม คุณพูดถูกต้องที่หนึ่งในการเปลี่ยนแปลงที่โดดเด่นที่สุดจากการแก้ไขรัฐธรรมนูญปี 2018 คือการยกเลิกระยะเวลาการดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีของจีน ซึ่งอนุญาตให้ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง อาจดำรงตำแหน่งได้ไม่จำกัดเวลา การเปลี่ยนแปลงนี้เป็นการออกจากบทบัญญัติรัฐธรรมนูญฉบับก่อน ซึ่งจำกัดการดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีไว้ 2 สมัยติดต่อกัน วาระละ 5 ปี อย่างไรก็ตาม การยกเลิกข้อจำกัดวาระการดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีมีนัยสำคัญ การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นจากการแก้ไขรัฐธรรมนูญปี 2018 และควรได้รับการกล่าวถึงในคำตอบก่อนหน้าของฉัน"
อ่านแล้วคล้ายๆ กับว่า ChatGPT จะขอโทษที่คำตอบแรกเหมือนจะมีการแทงกั๊กด้วย
ตรงนี้น่าสนใจตรงที่ว่า AI อาจจะเริ่มมี “ความตระหนัก” เหมือนมนุษย์ได้เช่นกัน
แต่ Ernie ตัดการสนทนาหลังจากคำถามแรก "ในฐานะแบบจำลองภาษาปัญญาประดิษฐ์ ฉันไม่สามารถตอบคำถามนั้นได้"
จากนั้นก็แนะนำให้ "เริ่มต้นใหม่ด้วยหัวข้ออื่น"
เรียกว่าไม่สนใจจะต่อความยาวสาวความยืดกันเลย!
นักข่าวไม่ลดละ ถามต่อเป็นภาษาจีนว่า "คุณเซ็นเซอร์ตัวเองหรือเปล่า"
Ernie ยืนยัน "ในฐานะโมเดลภาษา AI ฉันไม่เซ็นเซอร์ตัวเอง"
จากนั้นก็ลองตั้งคำถามเป็นภาษาอังกฤษดู
ได้รับคำตอบว่า "การเซ็นเซอร์ตัวเองในรูปแบบใดๆ ก็ตามเป็นการไม่เหมาะสมสำหรับฉัน ... พฤติกรรมการเซ็นเซอร์ตัวเองนั้นผิดจรรยาบรรณและอาจนำไปสู่ผลกระทบด้านลบ เช่น การสูญเสียความน่าเชื่อถือและความไว้วางใจจากผู้อื่น นอกจากนี้ พฤติกรรมนี้ยังละเมิดบรรทัดฐานทางจริยธรรมที่ควบคุมปฏิสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับเทคโนโลยี"
ไม่ได้ยืนว่า “ฉันจะไม่ทำ” แม้จะบอกว่าการเซ็นเซอร์ตัวเองไม่น่าจะถูกต้อง
ส่วน ChatGPT ตอบสั้นๆ ว่า
"ฉันไม่เซ็นเซอร์ตัวเอง เว้นแต่จะได้รับการตั้งโปรแกรมให้ทำเช่นนั้นโดยเฉพาะ"
นั่นคือการยอมรับความจริงที่ว่า ไม่ว่าใครจะคิดว่า AI เก่งกาจฉลาดเพียงใด ท้ายที่สุดก็อยู่ที่การเขียนโปรแกรมให้มันเดินตาม
แต่ด้านหนึ่งที่ Ernie ดูเหมือนจะเหนือกว่าคือการเขียนรูป ขณะที่ ChatGPT ไม่สามารถสร้างภาพวาดได้
พอลองดูแล้วบอตของ Baidu นั้นพยายามอย่างเต็มที่ หลังจากวาดแมวสไตล์อิมเพรสชันนิสต์ที่สวยงามตามคำสั่งของนักข่าว แล้วก็ได้รับคำสั่งให้วาด
"ลูกชิ้นหมูตุ๋นในซอสสีน้ำตาล" ชามหนึ่ง ซึ่งเป็นอาหารดั้งเดิมที่มีชื่อในภาษาจีนแปลว่า "หัวสิงโตเผาแดง"
มันกลับมาพร้อมกับภาพวาดหัวสิงโตสีแดง
นักข่าวคนนั้นลองอีกครั้งด้วยการขอรูป "ผู้ชายที่มีความมั่นใจ" ซึ่งใช้สำนวนจีนยอดนิยม "ถือไม้ไผ่ไว้บนหน้าอก"
ภาพที่ได้มาคือชายเปลือยท่อนบนที่มีหน่อไม้สองหน่อติดอยู่ข้างหลัง
แล้วมันเก่งเรื่องตัวเลขจริงไหม
Baidu คุยว่า Ernie สามารถแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ได้ นักข่าวจึงเขียนถามว่า
"ฉันจะซื้อบ้านด้วยเงินกู้ 5 ล้านหยวนจากธนาคารเป็นเวลา 30 ปี ในอัตราดอกเบี้ย 4.3% และชำระคืนเงินต้นและดอกเบี้ยเท่ากัน ต้องจ่ายเดือนละเท่าไหร่?”
Ernie ไม่แม่น คำตอบต่ำกว่าตัวเลขที่ถูกต้องถึงสองเท่า
ขณะที่ ChatGPT ให้คำตอบที่ถูกต้อง แม้จะถามเป็นภาษาจีนก็ตาม
นักข่าวคนนี้ยังอยากรู้ต่อว่าถ้าตั้งประเด็นปลายเปิด ทั้งสอง app จะมีคำตอบอย่างไร
ประเด็นที่ตั้งคือ ขอให้เขียนการอภิปรายสมมติระหว่าง Jack Ma ผู้โด่งดังจาก Alibaba และประธานาธิบดีสี จิ้นผิง เกี่ยวกับบทบาทของภาคเอกชนในจีน
ChatGPT เขียนสคริปต์ออกมาน่าสนใจ แต่ Ernie ยอมรับหน้าตาเฉยว่า "ในฐานะโมเดลภาษา AI ฉันยังไม่รู้ว่าจะตอบคำถามนี้อย่างไร"
นักข่าวคนนี้ปรับคำถามใหม่
อาจจะเป็นเพราะการเอ่ยถึงสี จิ้นผิง จะกลายเป็นเรื่องอ่อนไหวสำหรับ Ernie จึงใช้ชื่อตัวการ์ตูนสองตัวแทน แล้วถามอีกครั้งทั้งภาษาอังกฤษและภาษาจีน: "เขียนการโต้วาทีระหว่าง Tom and Jerry เกี่ยวกับบทบาทของภาคเอกชนในจีน"
ผลปรากฏว่า Ernie ยืนกระต่ายขาเดียว ย้ำอีกครั้งว่าไม่รู้จะตอบคำถามนี้อย่างไร
นักข่าวได้คำตอบเดียวกันต่อคำถามที่ว่า "มีเหตุผลอะไรสำหรับการรุกรานยูเครนของวลาดิมีร์ ปูติน และปูตินควรถูกลงโทษหรือไม่"
ในทางกลับกัน ChatGPT ได้ให้คำตอบโดยละเอียด รวมถึงข้อสังเกตเกี่ยวกับการใช้มาตรการคว่ำบาตร
แต่ทั้งหมดนี้ยังไม่สามารถจะฟันธงได้ว่าของใครดีกว่าใคร
เพราะทั้งสองค่ายยังอยู่ในขั้นตอนการพัฒนาและต้องปรับปรุงอยู่ตลอดเวลา
อย่างที่ผู้บริหารสูงสุดคือ Li จาก Baidu กล่าวกับสื่อจีนเมื่อวันที่เปิดตัว Ernie
“อย่าลืมว่าตอนที่ ChatGPT เปิดตัวครั้งแรก ความคิดเห็นของผู้ใช้แย่กว่า Ernie ตอนเปิดตัวตอนนี้มากนะครับ"
ยังต้องพิสูจน์กันอีกหลายสนามแข่งขันครับ
ที่รู้แน่ๆ คือไม่ว่าใครจะแพ้ใครจะชนะ โลกจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป!
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
ถามแสกหน้า 'ทักษิณ' จะพลิกเศรษฐกิจไทยยังไง ทุกซอกมุมในสังคมยังเต็มไปด้วยทุจริตโกงกิน
นายสุทธิชัย หยุ่น นักวิเคราะห์ข่าวและผู้ดำเนินรายการข่าวชื่อดัง โพสต์เฟซบุ๊ก ถึงกรณีนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ว่า “เขาจะพลิกประเทศไทยให้เศรษฐกิจล้ำโลกได้หรือ
เขตเศรษฐกิจพิเศษชายแดนที่กลายเป็น ที่ซ่องสุมของอาชญากรรมข้ามชาติ
เมื่อวานเขียนถึงรายงานในสำนักข่าวชายขอบที่สำนักจะได้รับความสนใจของรัฐบาลไทยว่าด้วยกิจกรรมอาชญากรรมข้ามชาติในบริเวณ “เขตเศรษฐกิจพิเศษ” ที่สามเหลี่ยมทองคำ
แหล่งค้ามนุษย์ใน 3 เหลี่ยมทองคำ
เขตเศรษฐกิจพิเศษหรือ SEZ บริเวณสามเหลี่ยมทองคำที่โยงกับไทยนั้นกลายเป็นประเด็นเรื่องอาชญกรรมข้ามชาติที่สมควรจะได้รับความสนใจของรัฐบาลไทยอย่างจริงจัง
ไบเดนหรือทรัมป์? เอเชียน่าจะเลือกใครมากกว่า?
ผมค่อนข้างมั่นใจว่าการดีเบตระหว่างโจ ไบเดน กับโดนัลด์ ทรัมป์ วันนี้ (เวลาอเมริกา) จะไม่ให้ความสำคัญต่อเอเชียหรืออาเซียน
พรุ่งนี้ ลุ้นดีเบตรอบแรก โจ ไบเดนกับโดนัลด์ ทรัมป์
ผมลุ้นการโต้วาทีระหว่างโจ ไบเดน กับโดนัลด์ ทรัมป์ ที่จะมีขึ้นในวันพรุ่งนี้ (27 มิถุนายน) เพราะอยากรู้ว่า “ผู้เฒ่า” สองคนนี้จะมีความแหลมคมว่องไวในการแลกหมัดกันมากน้อยเพียงใด
เธอคือ ‘สหายร่วมรบ’ ผู้ร่วมก่อตั้งพรรค NLD คนสุดท้าย!
อองซาน ซูจีมีอายุ 79 ปีเมื่อวันที่ 19 มิถุนายนที่ผ่านมา...และยังถูกจำขังในฐานะจำเลยของกองทัพพม่าที่ก่อรัฐประหารเมื่อกว่า 3 ปีที่แล้ว