ผู้ที่เหลือรอดจากการ'แพ้-ชนะ'ของแต่ละฝ่าย

ไม่ว่าใครต่อใคร? ฝ่ายไหนต่อฝ่ายไหน? ประชาธิปไตย-ไม่ประชาธิปไตย? ก็เถอะ!!!...โอกาสที่จะอยู่ในฐานะ ผู้ที่เหลือรอด ภายในโลกยุคนี้ หรือในอนาคตอันใกล้ น่าจะไม่ถึงกับ ง่าย มากมายซักเท่าไหร่นัก ด้วยเหตุเพราะความขัดแย้ง แตกต่าง ที่มันออกจะซึมลึก ซึมซ่าน เข้าไปถึงแทบทุก อณูแห่งความเป็นมนุษย์ ชักเป็นอะไรที่มาแรง แซงโค้ง เห็นได้ชัดเจนยิ่งเข้าไปทุกที เรียกว่า...แทบทุกชาติ ทุกภาษา ทุกสังคม หรือแม้แต่ทุกๆ ครอบครัว เอาเลยก็ว่าได้

อาจด้วยเหตุเพราะกระแสความเป็นไปของโลก ของแต่ละชาติ แต่ละภาษา แต่ละสังคม มันค่อนข้างไหลไปทางใกล้ๆ กลียุค ใกล้ๆ วันสิ้นยุค-สิ้นโลก อะไรประมาณนั้น

หรือกำลังจมดิ่งไปสู่จุดที่ลึกที่สุด ตกต่ำที่สุด ของห้วงระยะเวลาที่ “ศาสนาเชน” ท่านเรียกว่า อวะสารภินี (Avasarpini) ด้วยเหตุนี้...สิ่งที่น่าสนใจ น่าคิดสะกิดใจ คงหนีไม่พ้นไปจากการหันไปนึกถึงรูปร่าง หน้าตา อุปนิสัยใจคอ ของบรรดาผู้ที่นักคิด นักปราชญ์ ใน ศาสนา ต่างๆ ทั้งหลาย ท่านเคยทำนาย ทายทัก เอาไว้ในฐานะ ผู้ที่เหลือรอด จากฉากเหตุการณ์ร้ายๆ ไม่ว่าประเภทวันสิ้นยุค สิ้นโลก ช่วงกลียุค ช่วงเวลาแห่งการหันมาเข่นฆ่ากันและกันภายใน 7 วัน หรือช่วง สัตถันดรกัป ที่ศาสนาพุทธของหมู่เฮา ได้อรรถาธิบาย เอาไว้ล่วงหน้า...นั่นแล...

แน่ล่ะว่า...บรรดาผู้คนเหล่านี้ คงไม่ได้ออกไปทางพวกที่พยายามออกเรี่ยว ออกแรง เชียร์เผาไทย เชียร์ก้าวไกล ไปจน เชียร์บิ๊กตู่ เชียร์บิ๊กป้อม ฯลฯ หรือเชียร์อะไรต่อมิอะไรอยู่แล้วแน่ๆ แถมยังไม่ได้หนักไปทางพวกเชียร์ ประชาธิปไตย แบบอเมริกา แบบตะวันตก หรือเชียร์ อำนาจนิยม แบบจีน แบบรัสเซีย อีกด้วยต่างหาก แต่อาจเป็นพวกที่แทบไม่ได้สนใจการบ้าน-การเมืองอะไรมาก แถมยังหนักไปทางพวกที่พยายาม ปลีกวิเวก ปลีกตัวเองออกจากความขัดแย้ง แตกต่าง ทั้งหลาย ดังที่พระคัมภีร์ไตรปิฎก บท จักกวัตติสูตร วาดจินตนาการไว้ประมาณว่า “ครั้งนั้น...สัตว์เหล่านั้น (มนุษย์เหล่านั้น) มีบางพวก บางกลุ่ม ที่มีความคิดว่า เราอย่าฆ่าใคร และอย่าให้ใครฆ่าเรา อย่ากระนั้นเลย เราควรเข้าไปตามป่าหญ้า สุมทุมพุ่มไม้ ป่าดง พงชัฏ ระหว่างเกาะและซอกเขา ใช้เง่าไม้ ผลไม้ป่ายังชีพ เป็นอาหาร ครั้นเมื่อล่วง 7 วันผ่านพ้นไป เขาก็พากันออกมาจากสุมทุมพุ่มไม้ ป่าดง พงชัฏ ระหว่างเกาะและซอกเขา แล้วต่างร่าเริงยินดีที่รอดชีวิต ขับร้องอย่างดีใจ และจักรำลึกถึงความสิ้นญาติครั้งใหญ่ ว่าเป็นเพราะการสมาทานในอกุศลกรรม ด้วยเหตุนี้...อย่ากระนั้นเลย เราควรหันมาบำเพ็ญในกุศลกรรม เริ่มด้วยควรงดเว้นปาณาติบาตเป็นเบื้องแรก...”

นี่...ออกมาในแนวนี้ ไม่ได้ออกมาในแนวแบบที่ใครต่อใครพยายามโพสต์ พยายามแชร์ อะไรต่อมิอะไรเอาไว้ในเฟซบุ๊ก อินสตาแกรม หรือไลน์ไหนต่อไหนก็แล้วแต่ ยิ่งถ้าว่ากันในแนวศาสนาคริสต์-อิสลาม หรือศาสนาที่นับถือ พระเจ้า บรรดาผู้ที่เหลือรอดทั้งหลาย ออกจะเป็นอะไรที่ต้องย้อนกระแส ทวนกระแส แบบสุดๆ ไปเลย คือถึงขั้น “คนทั้งปวงจะเกลียดชังท่าน...เพราะความภักดีที่ท่านมีต่อเรา (ต่อพระผู้เป็นเจ้า)” อะไรประมาณนั้น ไม่ได้ออกไปทางพวกที่คิดดำรงตนเป็น ติ่ง ของนักการเมือง พรรคการเมือง หรือแนวทางการเมืองใดๆ ทั้งสิ้น แต่เป็นผู้ที่พร้อมจะหันมายึดมั่นใน ธรรม หันมาบำเพ็ญ กุศลกรรม กันอย่างจริงๆ-จังๆ อย่างเป็นระบบและกิจการ เป็นเบื้องแรก...

จริง-ไม่จริง...น่าเชื่อ-ไม่น่าเชื่อ คงต้องเก็บไปคิดเป็น การบ้าน เอาเองก็แล้วกัน แต่ท่ามกลางความเป็นไปของโลกที่มันชักจะไปถึงขั้นไม่ใช่แค่ สงครามโลก-ไม่สงครามโลก แต่เพียงเท่านั้น แต่ใกล้ๆ ถึงขั้น นิวเคลียร์-ไม่นิวเคลียร์ เอาเลยก็ไม่แน่!!! ยังไงๆ คงต้องหยิบเอาเรื่องราวทำนองนี้ มาคิดๆ เอาไว้มั่ง หรือเอามาใช้เป็นอุทาหรณ์ สอนใจ ไม่ว่ามากหรือน้อย ก็ยังดี เพราะภายใต้ฉากสถานการณ์ที่อาจไปไกลถึงระดับ สงครามนิวเคลียร์ เท่าที่ผู้รู้-ผู้เชี่ยวชาญท่านได้คิด-คำนวณ โดยอาศัยภาพจำลองทางสถิติและข้อมูลต่างๆ โอกาสที่บรรดาพลโลกที่มีอยู่ประมาณ 6,000-7,000 ล้านคน อาจต้องเด๊ดสะมอเร่ย์ อิน เดอะ เท่งทึง ลงไปถึง 5,000 ล้านเป็นอย่างน้อย ย่อมมีความเป็นไปได้สูงเอามากๆ หรือที่ พระคัมภีร์ไบเบิล ท่านได้ขู่ๆ เอาไว้ว่าไม่น่าจะน้อยกว่า 2,000 ล้านราย เพียงแค่เฉพาะแต่บรรดาทวยทหารทั้งหลาย เหล่านี้เป็นต้น...

ด้วยเหตุนี้...สรุปเอาเป็นว่า สุดท้ายของสุดท้ายแล้ว มีแต่บรรดาผู้ใฝ่ธรรม หรือผู้ที่ยึดมั่นในธรรมเท่านั้น ที่พอจะ เหลือรอด และจะกลายมาเป็นผู้ที่ขับเคลื่อน-ผลักดัน ให้ กงล้อแห่งกาลเวลา ค่อยๆ หมุนขึ้น เจริญขึ้น จนไปสู่ช่วงเวลาที่ ศาสนาเชน ท่านเรียกว่า อุตะสารภินี (Utsarpini) กันจนได้ หรือช่วงที่ ความดี-ความงาม-และความจริง ทั้งหลาย ค่อยๆ เจริญเติบโตไปจนจุดสูงสุด จุดที่ พระศรีอริยเมตไตรย ได้เวลาลงมาจุติ จุดที่บรรดาความขัดแย้ง แตกต่าง ทั้งหลาย ถูกขจัดกวาดล้างด้วยเหตุเพราะการหันกลับมายึดมั่นในธรรม การบำเพ็ญกุศลกรรม ของมนุษย์ในแต่ละราย ไม่ใช่เพราะฝ่ายหนึ่ง-ฝ่ายใด ฝ่ายมัน-ฝ่ายเรา หรือฝ่ายมึง-ฝ่ายกู เป็นฝ่ายชนะ-ฝ่ายแพ้ เอาเลยแม้แต่น้อย.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

เด็กฝึกงาน...ไม่ผ่านโปร

ฉากทัศน์ทางการเมืองของประเทศไทยหลังจากรู้ผลของการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2566 เป็นภาพที่สร้างความกังวลให้กับคนไทยจำนวนมากที่ไม่ได้เลือกพรรคส้มหรือพรรคแดง

'ความเป็นไทย' กับกรณีน้ำท่วมภาคเหนือ-ภาคใต้

ถึงแม้จะก่อเกิด ถือกำเนิด ที่อำเภอชะอำ จังหวัดเพชรบุรี...แต่ด้วยเหตุเพราะไปเติบโตที่ภาคใต้ ไม่ว่าเริ่มตั้งแต่อำเภอทุ่งสง จังหวัดหน่ะคอนซี้ทำหมะร่าด ไปจนอำเภอกันตัง

ได้ฤกษ์ 'นายพล' ล็อต 2

ผ่านเดดไลน์ตามคำสั่ง ผบ.ต่าย-พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ให้ทุกหน่วยส่งบัญชีข้อมูลผู้เหมาะสมเลื่อนตำแหน่งสูงขึ้น

ช่างกล้า...ช่างมั่น รับประกันด้วยตำแหน่ง

ในขณะที่ประชาชนผู้รักชาติ รักแผ่นดิน มีความเป็นห่วงเป็นใยว่าการเจรจาแบ่งผลประโยชน์จากทรัพยากรในท้องทะเลใต้เกาะกูดตามที่มีการลงนามความเข้าใจร่วม (MOU) 44

จาก...'ต้มยำกุ้ง' ถึง 'ต้มยำกบ'

ด้วยเหตุเพราะ ความคิดถึง อย่างสุดซึ้งถึงเพื่อนเก่า เพื่อนแก่ อย่าง เพื่อนแป๊ะ (โดย แป๊ะ รายที่ว่านี้ออกไปทาง เทพบุตร หรือคนละคนกับ แป๊ะ ปิศาจ) ที่ห่างหายไม่ได้เจอะหน้า เจอะตา

ทิศทางใหม่ 'สีกากี'

การจัดทัพปรับทิศ "กรมปทุมวัน" ในยุค ผบ.ต่าย-พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ กุมบังเหียน "แม่ทัพใหญ่สีกากี" น่าสนใจ น่าติดตาม