ประชุมสุดยอดระหว่างผู้นำ ฟูมิโอะ คิชิดะ (Fumio Kishida) นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น กับยุน ซอก-ยอล (Yoon Suk-yeol) ประธานาธิบดีเกาหลีใต้ เมื่อ 16 มีนาคม มีข้อมูลที่เปิดเผย พอจะวิเคราะห์ได้ดังนี้
สรุปภาพรวมเจรจา:
หนึ่งในไม่กี่เรื่องที่โดดเด่นชัดเจนคือ 2 ประเทศปรับความสัมพันธ์ GSOMIA สู่ระดับปกติ (completely normalize) GSOMIA (General Security of Military Information Agreement) คือ การแลกเปลี่ยนข้อมูลทางทหาร เช่น นิวเคลียร์เกาหลีเหนือ เป็นความร่วมมือตั้งแต่ 2016 และระงับไปเมื่อ 2019 จากเหตุญี่ปุ่นระงับส่งวัตถุดิบ สินค้าสำคัญบางตัวจากญี่ปุ่น ผสมกับความบาดหมางเมื่อเกาหลีเป็นอาณานิคมญี่ปุ่น 1910-45
ยุน ซอก-ยอล (Yoon Suk-yeol) ประธานาธิบดีเกาหลีใต้ กล่าวว่า ความร่วมมือนี้ก่อประโยชน์ด้านความมั่นคงแก่ทั้ง 2 ประเทศ แยกเรื่องนี้จากการเรียกร้องค่าชดเชยการใช้แรงงานสมัยเป็นอาณานิคมที่คาดว่ามีถึง 780,000 คน เรื่องหญิงบำเรอ (comfort women) มุมมองจุดยืนเกาหลีใต้ต่ออดีตญี่ปุ่นยังคงเดิม
ประธานาธิบดียุนอธิบายว่าเป็นนโยบายที่มุ่งมองอนาคต (future-oriented) ร่วมกัน
ข้อตกลงอีกข้อคือ ผู้นำ 2 ประเทศจะไปมาหาสู่กันและกันอย่างสม่ำเสมอตั้งแต่ระดับรัฐมนตรีช่วยขึ้นไป หลังระงับแล้ว 12 ปี เป็นเครื่องชี้วัดว่าความสัมพันธ์จะดีขึ้น โอกาสร่วมมือกันมากขึ้น
ลดข้อขัดแย้งทางการค้า เพียงไม่กี่ชั่วโมงก่อนประชุมสุดยอด ทั้งคู่บรรลุแก้ข้อพิพาทการค้าที่มีอยู่ในระดับหนึ่ง ญี่ปุ่นคลายส่งออกวัตถุดิบที่ใช้ผลิตเซมิคอนดักเตอร์ ทั้งๆ ที่เคยพยายามกันแล้ว ชี้ว่าทั้งคู่ยอมถอยคนละก้าว ข้อนี้ก่อประโยชน์แก่เกาหลีใต้อย่างเป็นรูปธรรม
สหรัฐได้ประโยชน์ด้วย สหรัฐขอให้เกาหลีใต้เพิ่มผลิตชิ้นส่วนชิปคอมพิวเตอร์เพื่อป้อนตลาดของตนในยามนี้ที่ขาดแคลน น่าจะเป็นอีกปัจจัยช่วยลดข้อพิพาทเรื่องนี้
โอกาสกับความท้าทาย:
แม้การกดขี่ในสมัยเป็นอาณานิคมจะผ่านมานานแล้ว ญี่ปุ่นเคยจ่ายชดเชยไปบ้าง ขอโทษบ้าง แต่คนเกาหลีใต้จำนวนหนึ่งยังโกรธเคือง เรียกร้องไม่จบสิ้น เป็นประเด็นการเมือง นักการเมืองเกาหลีใต้ใช้หาเสียง เรียกคะแนนนิยม จะเห็นว่ารัฐบาลยุนกังวลเหมือนกัน จึงบอกว่าจุดยืนเกาหลีใต้ต่ออดีตญี่ปุ่นยังคงเดิม เรื่องอ่อนไหวยังเก็บไว้ ย้ำว่าการปรับสัมพันธ์เพื่อประโยชน์ด้านความมั่นคง ยกกรณีเกาหลีเหนือ
อันที่จริงตั้งแต่หาเสียงประธานาธิบดียุนมีจุดยืนปรับสัมพันธ์ ต่างจากพรรคที่แข็งกร้าวต่อญี่ปุ่น ถ้าอธิบายตามแนวนี้การปรับสัมพันธ์ไม่ใช่เรื่องแปลก
ข้อมูลปรากฏผ่านสื่อมีไม่มาก น่าเชื่อว่ามีข้อตกลงลับกับประเด็นหารือหลายข้อ ที่ปรากฏเป็นเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น ที่แน่นอนคือ ประชุมสุดยอดญี่ปุ่น-เกาหลีใต้ 2023 เป็นจุดเริ่มของการสานสัมพันธ์ใหม่ น่าจะมีความร่วมมืออื่นๆ ตามมาอีก เป็นเรื่องน่าติดตาม
มองไกลกว่าเกาหลีเหนือ:
แม้ข้อมูลที่เปิดเผยจะเอ่ยถึงภัยเกาหลีเหนือ รัฐบาลยุนมักอธิบายอย่างนั้น สอดคล้องกับที่รัฐบาลเกาหลีเหนือแสดงท่าทีแข็งกร้าว ทดสอบขีปนาวุธบ่อยครั้ง นักวิเคราะห์บางคนคิดว่าเป้าหมายหลักเป็นจีนมากกว่า Kim Gi-hyeon จาก People Power Party กล่าวว่า การสานสัมพันธ์เกี่ยวข้องกับอินโด-แปซิฟิกที่เผชิญภัยนิวเคลียร์จากเกาหลีเหนือและจีนที่ก้าวขึ้นมา
หากสัมพันธ์ญี่ปุ่น-เกาหลีใต้แข็งแกร่งจะเสริมให้ฝ่ายสหรัฐเข้มแข็งขึ้นมาก เป็นที่รู้กันทั่วไปว่าญี่ปุ่นกับเกาหลีใต้เป็นพันธมิตรทางทหารสำคัญของสหรัฐในแถบนี้ รัฐบาลสหรัฐหวังพึ่งกำลังของทั้ง 2 ประเทศ แต่ทั้งคู่มีข้อบาดหมางตั้งแต่เก่าก่อน ซ้ำร้ายกว่านั้นเกิดประเด็นขัดแย้งใหม่ๆ ขึ้นอีก ในสมัยโอบามาพยายามเชื่อมสัมพันธ์แต่ไม่ได้ผลเท่าไรนัก ดังนั้นจะเข้มแข็งขึ้นเพียงไรอย่างไรน่าติดตาม รวมทั้งปฏิกิริยาจากจีน ผลต่อนาโตเอเชีย สงครามเย็นใหม่
เนื้อหายุทธศาสตร์ความมั่นคงแห่งชาติสหรัฐฉบับล่าสุด “National Security Strategy October 2022” ที่เผยแพร่ต่อสาธารณะชี้ว่า จีนเป็น “คู่แข่งสำคัญ” ต่างจากรัสเซียที่ระบุว่าเป็นภัยคุกคาม เป็นศัตรูต่อโลกเสรีประชาธิปไตย แต่ไม่กี่เดือนที่ผ่านมาโทนเสียงแข็งกร้าวขึ้นเรื่อยๆ ขู่จีนห้ามช่วยเหลือรัสเซีย ในขณะที่จีนซื้อพลังงานรัสเซียเพิ่มขึ้นมาก
กุมภาพันธ์ 2023 Jens Stoltenberg เลขาธิการนาโต กล่าวว่า ศึกยูเครนมีผลต่อความคิดของจีน ส่งผลต่อนโยบายจีน อะไรที่เกิดกับยุโรปจะมีผลต่อเอเชีย และอะไรที่เกิดขึ้นกับเอเชียจะมีผลต่อยุโรปเช่นกัน ตอนนี้ นาโตกำลังยกระดับความร่วมมือกับญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ “การก้าวขึ้นมาของจีนมีผลต่อความมั่นคง ผลประโยชน์ของเราและคุณค่าที่เรายึดถือ”
จึงเป็นไปได้ว่าอนาคตหนีไม่พ้นที่รัฐบาลสหรัฐจะรวมพันธมิตรเอเชียเข้ากับยุโรป หรือพูดอีกอย่างคือรวมพันธมิตรทางทหารทั้งโลก ไม่ว่าจะทำเป็นนาโต-2 นาโตเอเชีย หรือนาโตเดียวที่รวมทั้งหมด รวมความแล้วรัฐบาลสหรัฐตั้งเป้ากระชับพันธมิตรทางทหารที่ตนเป็นแกนนำให้ร่วมมือใกล้ชิดขึ้นอีก โดยอ้างภัยคุกคามจากทั้งรัสเซียกับจีน ญี่ปุ่นกับเกาหลีใต้คือเป้าหมายสำคัญที่ต้องร่วมมือกันให้ได้
สงครามเย็นใหม่เป็นอีกหัวข้อที่พูดกันมาก ถูกวิเคราะห์หลากหลาย สงครามเย็นใหม่หรือสงครามเย็นแห่งศตวรรษที่ 21 นี้ ไม่ใช่ความขัดแย้งทางอุดมการณ์การเมือง แม้ฝ่ายรัฐบาลสหรัฐกับพวกพยายามชี้ว่าจีนปกครองด้วยพรรคคอมมิวนิสต์ รัสเซียไม่เป็นประชาธิปไตย มาถึงสมัยรัฐบาลไบเดนคำที่รัฐบาลสหรัฐกับพวกใช้คือ การต่อสู้ระหว่างเสรีประชาธิปไตยกับทรราชย์ (tyranny) หรือพวกอำนาจนิยม
สงครามยูเครนกลายเป็นเหตุการณ์ที่ทำให้รัฐบาลไบเดนออกมาตรการคว่ำบาตรรัสเซียใหม่หลายชุด (เดิมรัสเซียถูกคว่ำบาตรในระดับหนึ่งอยู่แล้ว) ยุโรปเป็นจุดร้อนแรงที่ทั่วโลกจับตา
สังเกตว่าความขัดแย้งระหว่างมหาอำนาจในขณะนี้คือ รัฐบาลสหรัฐกับพวกที่เล่นงานจีนในอินโด-แปซิฟิกและที่เล่นงานรัสเซียในยุโรป
ประเด็นสำคัญคือ เป็นความขัดแย้งอันเนื่องจากเหตุการณ์ที่ปะทุขึ้น ไม่ใช่ความขัดแย้งทางอุดมการณ์การเมืองเศรษฐกิจ หากตีความว่า “สงครามเย็น” คือ การช่วงชิงอำนาจ ช่วงชิงผลประโยชน์ของ 2 อภิมหาอำนาจดังสมัยสงครามเย็นเมื่อศตวรรษก่อน สามารถอธิบายว่าของเดิมไม่ต่างจากสถานการณ์ปัจจุบัน ต่างกันเพียงจะนำเสนอเรื่องราวอย่างไร จะให้ประชาชนรับรู้อย่างไร เรื่องเหล่านี้เป็นโฆษณาชวนเชื่อ เป็นส่วนหนึ่งของสงคราม เป็นส่วนหนึ่งของการต่อสู้เพื่อช่วงชิงผลประโยชน์ดังที่ปรากฏให้เห็นในปัจจุบัน ในอนาคตภาพนี้น่าจะชัดเขนยิ่งขึ้น
ความบาดหมางฝังลึกที่เกาหลีใต้มีต่อญี่ปุ่น ความไม่ไว้วางใจรัฐบาลทำให้การปรับความสัมพันธ์ยุ่งยาก น่าสงสัย อาจมีผลช่วงสั้นๆ ตามอายุรัฐบาล
แค่ฟื้นฟูเฉพาะรัฐบาลนี้หรือไม่:
ทันทีที่สิ้นสุดการประชุม คนเกาหลีที่ต่อต้านญี่ปุ่นออกมาประท้วงทันที Lim O-kyeong โฆษกพรรค DPK ชี้ว่า รัฐบาลยุนหารือเรื่องหญิงบำเรอกับเกาะด็อกโด (Dokdo หรือเกาะทาเคชิมา (Takashima) ที่ทั้งสองประเทศอ้างว่าเป็นของตน) แต่รัฐบาลปฏิเสธ
ความบาดหมางในอดีตได้สืบเนื่องมานานแสนนาน เป็นทัศนคติที่ถ่ายทอดกันมา มีองค์กรเคลื่อนไหวเข้มแข็ง เช่น องค์กรที่เคลื่อนไหวเรื่องหญิงบำเรอ (comfort women - หญิงชาวบ้านที่ถูกทหารญี่ปุ่นใช้เป็นเครื่องปรนเปรอทางเพศระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2) เป็นประเด็นที่ฝ่ายการเมืองชอบใช้หาเสียง ที่ผ่านมาบางรัฐบาลเป็นมิตรกับญี่ปุ่น พอเปลี่ยนรัฐบาลสัมพันธ์ก็เปลี่ยนไป จึงเป็นคำถามว่าการฟื้นสัมพันธ์รอบนี้จะยั่งยืนแค่ไหน การเมืองภายในของเกาหลีใต้เป็นปัจจัยสำคัญที่มองข้ามไม่ได้ อีกทั้งความบาดหมางเก่าแก่นั้นไม่อาจแก้ด้วยรัฐบาลเกาหลีใต้ชุดเดียว และไม่อาจแก้ด้วยรัฐบาลญี่ปุ่นเพียงชุดเดียว จนกว่าทัศนคติของสังคมจะเปลี่ยน
และที่บอกว่าเป็นนโยบายที่มุ่งมองอนาคตเป็นหลัก (future-oriented) เพื่อประโยชน์ความมั่นคงร่วมกันเป็นหลักการที่ฟังดูดี แต่ต้องติดตามผลบนความจริงมากกว่าหลักการ.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
นโยบายต่างประเทศจีน2024จากมุมมองสหรัฐ
เป้าหมายนโยบายต่างประเทศคือการฟื้นฟูชาติจีนครั้งยิ่งใหญ่ ไม่ว่าจะใช้มุมมองจีนหรือสหรัฐ ทั้งคู่มองว่าต่างเป็นคู่แข่งเชิงยุทธศาสตร์และน่าจะเป็นปรปักษ์ในที่สุด
ยุทธศาสตร์แห่งชาติจีน2024จากมุมมองสหรัฐ
กำหนดเป้าหมาย ‘มีกองทัพเข้มแข็งระดับโลก เป็นผู้นำทบทวนระเบียบโลก’ ในการนี้จีนต้องเผชิญหน้าสหรัฐผู้นำระเบียบโลกปัจจุบันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ปฐมบทอาหรับสปริงซีเรีย
ความไม่เท่าเทียมทางเศรษฐกิจสังคมเป็นต้นเหตุสำคัญของอาหรับสปริงซีเรีย รัฐบาลต่างชาติที่หวังล้มอัสซาดพยายามอยู่นานหลายปี รอจนวาระและโอกาสเป็นใจ
จากฮาเฟซ อัลอัสซาดสู่จุดเริ่มอาหรับสปริงซีเรีย
อำนาจการปกครองเป็นของคนส่วนน้อย คนกลุ่มนี้แหละที่ได้รับประโยชน์ ทิ้งให้ประชาชนจำนวนมากอยู่ตามมีตามเกิด อำนาจนี้เปลี่ยนมือไปมาจนมาถึงระบอบอัสซาดที่อยู่ได้ 2 ชั่วคน คือพ่อกับลูก
จากสถาปนาประเทศซีเรียสู่พรรคบาธ
เรื่องราวของซีเรียเต็มไปด้วยการแข่งขันช่วงชิงทั้งภายในกับอำนาจนอกประเทศ ความขัดแย้งภายในหลายมิติ เป็นอีกบทเรียนแก่นานาประเทศ
2024สงครามกลางเมืองซีเรียระอุอีกครั้ง
สงครามกลางเมืองที่ดำเนินมาเกือบ 14 ปียังไม่จบ สาเหตุหนึ่งเพราะมีรัฐบาลต่างชาติสนับสนุนฝ่ายต่อต้านกับกลุ่มก่อการร้าย HTS เป็นปรากฏการณ์ล่าสุด