เวลาผมมีโอกาสไปบรรยายให้กับนิสิตนักศึกษา สิ่งหนึ่งที่ผมจะพูดเป็นประจำคือ ชีวิตที่สมบูรณ์ไม่ได้ขึ้นอยู่กับสถานะการเงิน หรือหน้าที่การงาน ชีวิตที่สมบูรณ์คือการไม่มีหนี้สิน การมีครอบครัวที่อบอุ่น การมีความมั่นคงในชีวิต การมีสุขภาพที่ดี และการมีเพื่อนตายที่พึ่งพาได้
ผมบอกเขาว่า เมื่อคนเราอายุมากขึ้น วงเพื่อนของเราจะแคบลง และจะเหลือไม่กี่คนที่เป็นเพื่อนจริง ซึ่งนิสิตนักศึกษามองหน้ากันทุกครั้ง แล้วคงไม่เชื่อสิ่งที่ผมพูด แต่เดี๋ยวสักวันหนึ่งเขาจะรู้ครับ
ชีวิตผมยังไม่สมบูรณ์เต็มที่ เพราะยังมีหนี้สินที่ต้องจัดการและกำลังจัดการอยู่ แต่ในด้านอื่นๆ ผมคิดว่าผมสมบูรณ์ เราไม่มีสิทธิ์จะบ่นอะไรกับใครที่มีชีวิตลำบากกว่าหลายล้านเท่า แต่มนุษย์ทุกคนในโลกนี้มีปัญหาหมด ทุกคนมีปัญหาที่ทำให้ตัวเองนอนไม่หลับเป็นบางคืน
ผมโชคดีที่ผมยังมีเพื่อนรักที่พึ่งพาได้ ถึงแม้เราไม่ค่อยได้เจอกันเหมือนตอนหนุ่มๆ และไม่ค่อยได้พูดคุยกันเหมือนสมัยโน้น เพราะต่างคนต่างมีปัญหาส่วนตัว หรือปัญหาภายในครอบครัวที่ต้องจัดการ และในการปรึกษาหรือพูดคุยกับคนนอกเกี่ยวกับปัญหาภายในครอบครัว ก็ไม่ค่อยอยากเล่าให้ใครฟัง เพราะเขาก็มีปัญหาของเขาเช่นเดียวกัน
แต่ทุกๆ ครั้งที่มีโอกาส ยกหูโทรศัพท์พูดคุย เจอกัน หรือส่งข้อความหาซึ่งกันและกัน ก็ถือว่าเป็นการต่อยอดความผูกพันเดิมที่มีอยู่ ยังไงเพื่อนคือเพื่อน แล้วพอเราอายุมากขึ้น ถ้ายังมีเพื่อนรักที่พึ่งพาได้ ถือว่าเป็นบุญกุศลที่สุดยอด ถึงแม้เราจะคุยแต่เรื่องอดีต หรือเรื่องเดิมๆ มุกก็มุกเดิม ขำก็เรื่องเดิม แต่มันคือความสุข
ผมโชคดีที่มีกลุ่มเพื่อนสนิทที่เติบโตด้วยกัน ซึ่งเป็นกลุ่มประมาณ 10 คน แต่จากกลุ่มใหญ่นี้ ผมมีเพื่อนรักประมาณ 4 คน ในเพื่อนรักของผม 4 คนที่ว่า ผมจะถนัดคุยเรื่องนี้กับคนนี้ จะคุยเรื่องนู้นกับคนนู้น แต่ก็รักทุกคนอยู่ดี และไม่ได้แบ่งแยกว่ารักคนนี้มากกว่าคนโน้น
เมื่อปีที่แล้ว เพื่อนรัก 1 ใน 4 ของผมเสียชีวิตกะทันหัน เสียชีวิตประเภทพวกเราไม่ตั้งตัวอะไรเลย ตอนรับทราบข่าวครั้งแรกยังคิดว่าถูกอำอยู่ เพื่อนผมคนนี้เกิดอาการหัวใจวายขึ้นมากลางห้างที่บางแค แต่ถึงแม้ไปโรงพยาบาลทัน เขาจากไปพวกเราช่วงข้ามคืนคืนนั้น โดยที่พวกเราไม่รู้เรื่องอะไร รู้อีกทีตอนแฟนเขาไปโพสต์การเสียชีวิตของเพื่อน และเพื่อนพวกเราที่อยู่สหรัฐเห็นขึ้นมา และเขาไปโพสต์ต่อ
พวกเราตื่นขึ้นมาโดยเห็นโพสต์ของเพื่อนที่อยู่ต่างประเทศ เลยงงว่ามีอะไรเกิดขึ้น พอทราบข่าว พวกเราใจหายทุกคนครับ
สำหรับกลุ่มเพื่อนฝูง เป็นครั้งแรกที่เสียเพื่อนในกลุ่มไป และจนถึงบัดนี้ พวกเรายังคิดถึง รำลึกถึง และพูดถึงเพื่อนเราอยู่ ทุกครั้งที่เจอกัน จะมีการยกแก้ว Toast เพื่อนที่จากไป และเล่าเรื่องเก่าๆ เดิมๆ
ในช่วงจัดงานศพเมื่อปีที่แล้ว ผมพยายามบอกเพื่อนๆ ว่า พวกเราตกใจ พวกเราเสียใจ แต่จริงๆ แล้ว เพื่อนไม่อยากเห็นพวกเราเศร้า แล้วถ้าเขานั่งอยู่ตรงนี้ เราก็คงจะคุยเรื่องขำๆ คุยเรื่องลามก และคุยเรื่องหยาบคายกันเหมือนปกติ เพราะอันนั้นเป็นสิ่งที่เพื่อนรักทำกัน ไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์อะไรก็แล้วแต่
พวกเรามีกาลเทศะ และเข้าสังคมเป็น วางตัวเป็นเมื่อเข้าสังคม แต่สำหรับเพื่อนรักที่แท้จริง ถึงแม้อยู่ในสถานการณ์ที่เราต้องวางมาด ต้องสุขุม ยังไงๆ เมื่อเห็นหน้าเพื่อนปุ๊บ เราต้องพยายามให้เขาหัวเราะให้ได้ และยิ่งอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่ควรหัวเราะ เรายิ่งต้องให้เขาหัวเราะให้ได้ จนเขาไม่สามารถสบตาเราได้ อันนั้นคือเพื่อนรักครับ
วันพุธที่จะถึงนี้ (15 มีนาคม) เป็นวันครบรอบเสียชีวิตของเพื่อนรักผม ดร.โสภัชย์ วรวิวัฒน์ (หรือไอ้โทนี่ของพวกเรา)
ก่อนเขียนคอลัมน์วันนี้มีเหตุการณ์เกิดขึ้น หน้าบ้านผม ที่ผมเชื่อว่าถ้าไอ้โทนี่ยังมีชีวิตอยู่ ผมจะเล่าให้มันฟังคนแรก มันไม่ใช่เรื่องขำ ไม่ใช่เรื่องตลก แต่มันตลกแบบเศร้าๆ ตลกแบบส่ายหน้า และบ่นลอยๆ ขึ้นมาว่า “ไอ้ Animal เอ๊ย”
หลังจากส่งลูกไปโรงเรียนตอนเช้า ผมสังเกตเห็นว่ามีแท็กซี่คันหนึ่งจอดอยู่หน้าบ้านผม ซึ่งไม่ได้หมายความว่าเขาจอดขวางทางเข้า-ออก แต่เขาจอดใต้ต้นไม้ ผมถือเป็นเรื่องปกติ เพราะช่วงเช้าเวลานั้น ต้นไม้หน้าบ้านผมให้ความร่มเย็น ผมก็นึกว่าแท็กซี่คันนี้จอดพักหรือจอดงีบ ซึ่งผมก็ไม่ได้ว่าอะไร เพราะถือเป็นเรื่องปกติ แต่ผมเห็นว่าคนขับไม่ได้นั่งอยู่ในรถ และประตูเปิดค้างไว้ พอดูอีกที อ้าว คนขับยืนฉี่ใส่รั้วบ้านผม
บ้านผมไม่ได้เป็นคฤหาสน์อะไร และย่านที่ผมอยู่ไม่ได้ถึงกับบ้านใหญ่โตทั้งหมู่บ้าน แต่คนทั่วไปดูรู้ว่าไม่ได้เป็นย่านที่จะยืนฉี่ตามใจชอบ สำหรับคนแถวนั้น แม้แต่เวลาจะพาหมาออกไปเดินเล่น เขายังเกรงใจไม่ให้หมาฉี่รั้วบ้านใครเลย เขายังแอบไปที่ดินรกๆ ที่อื่น
แต่คนขับแท็กซี่คนนี้คิดว่า จุดที่เหมาะสำหรับการฉี่ของเขาคือหน้าบ้านผม พอผมเปิดหน้าต่างรถถามเขาว่า “พี่มาฉี่หน้าบ้านผมเหรอ?” ผมจะทำใจได้ง่ายกว่าถ้าเขากร่างและตะโกนด่าผมกลับมา อย่างน้อยผมจะได้รู้ว่า ไอ้นี่มันมักง่าย และเป็นสันดานมัน แต่คนขับคนนี้ยิ้มแบบอายๆ ซื่อๆ แล้วพูดขึ้นมาว่า “ขอโทษที ผมปวดฉี่” ผมเลยไปไม่ถูกครับ อย่างน้อยถ้าเขาด่าแล้วใช้คำหยาบ ผมยังด่าเขากลับได้ แต่พอเขาพูดแบบนี้ ผมไม่รู้จะทำอย่างไร และไม่รู้จะพูดอะไรต่อ
หลายคนคงบอกว่า ทำไมเขาไม่ไปที่ปั๊มหรือไปที่อื่น เมืองทองฯ ไม่มีที่ฉี่เหรอ? ผมเข้าใจเขาครับ ดูท่าทางว่าเขาไม่คุ้นกับแถวนี้ เลยไม่รู้จะฉี่ที่ไหนได้ แต่ทำไมต้องฉี่หน้าบ้านผมวะ?
ผมไม่รู้ทำไม เมื่อเหตุการณ์เกิดขึ้นปุ๊บ คนแรกที่ผมนึกถึงคือ ไอ้โทนี่ ไม่ใช่เพราะเขาเป็นคนยืนฉี่หน้าบ้านคน หรือมีคนมายืนฉี่หน้าบ้านเขาเป็นประจำ แต่เรื่องแบบนี้มีแต่เพื่อนรักเท่านั้นที่จะเข้าใจอารมณ์ของเรา ขำก็ขำไม่ออก ได้แต่ส่ายหน้า แล้วพูดดังๆ ขึ้นมาว่า “ไอ้ Animal เอ๊ย!!!!”.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
President Biden….You’re a Good Dad
ในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมามีสารพัดเรื่องที่น่าสนใจและน่าเขียนถึง เรื่องแรกต้องเป็นเรื่องประกาศกฎอัยการศึกในเกาหลีใต้ เพราะเป็นเรื่องไม่มีวี่แววว่าจะเกิดขึ้น และถือว่าเป็นการประกาศฟ้าผ่าทีเดียว
คุยเรื่อง…ที่ไม่ใช่เรื่อง
เผลอแป๊บเดียว วันนี้เราเข้าเดือนสุดท้ายของปีแล้ว ถือว่าเราเข้าฤดูกาลซื้อของขวัญสำหรับคริสต์มาสและปีใหม่อย่างเป็นทางการ ถึงแม้ตามห้างต่างๆ
'ศาลอาญาระหว่างประเทศ….มีไว้ทำไม?'
เมื่อวันพฤหัสฯ ที่ผ่านมา ศาลอาญาระหว่างประเทศ (International Criminal Court หรือ ICC) ได้ออกหมายจับนายกรัฐมนตรีอิสราเอล Benjamin Netanyahu
'BRO!!!!!'
เกือบ 2 สัปดาห์กับผลการเลือกตั้งในสหรัฐ ที่สร้างความประหลาดใจให้กับคนทั่วไป เว้นบรรดานักวิเคราะห์แม่นๆ….หลังผลออกมา พวกนี้ยังพูดเต็มปากเต็มคำว่า
“ถ้าไม่เลือกเรา...เขามาแน่”...ทำให้เขาชนะขาดลอย
ผมไม่แน่ใจว่ากว่าแฟนคอลัมน์จะได้อ่านบทความนี้ เรื่องที่ผมจะเขียนนั้นมันแห้งเกินไปหรือเปล่า เพราะกว่าจะถึงวันที่ได้อ่านบทความนี้ เรื่องนี้อาจจะเก่าไปแล้วก็ได้
ผมจะไม่แปลกใจถ้าTrumpชนะ….แต่ผมจะแปลกใจถ้าHarrisแพ้
อีกไม่กี่วันข้างหน้าจะได้รู้กันว่าใครจะเป็นผู้นำ “The Free World” ระหว่างอดีตประธานาธิบดี กับอดีตรองประธานาธิบดี