รัฐมนตรีต่างประเทศจีนคนใหม่ “ฉิน กัง” เปิดแถลงข่าวครั้งแรกกับสื่อเมื่อวันอังคารที่ผ่านมา ย้ำว่าเรื่องไต้หวันเป็น “เส้นแดงห้ามผ่าน” สำหรับสหรัฐฯ
และหากวอชิงตันยัง “เร่งความเร็วบนเส้นทางที่ผิด ก็จะเกิดผลร้ายที่เป็นมหันตภัยในความสัมพันธ์ของเราแน่นอน”
แต่อเมริกายังเดินหน้าเรื่องไต้หวันต่อ
ขณะที่สงครามยูเครนยังร้อนแรงอยู่ สหรัฐฯก็ยกระดับอุณหภูมิการเมืองกับจีนกรณีไต้หวันเพิ่มขึ้นมาอีก
ด้วยข่าวที่ว่าวอชิงตันเตรียมส่งทหารอเมริกันไปประจำการไต้หวันจากเดิม 20-30 คนเป็น 200 คนเป็นอย่างน้อย
แม้ตัวเลขรวมจะไม่สูง แต่ปักกิ่งก็ต้องเต้นเพราะนี่คือความจงใจของสหรัฐฯที่จะยั่วยุจีน
เพราะสหรัฐฯยังอ้างกฎหมาย “ความสัมพันธ์กับไต้หวัน” ของตนเป็นเหตุผลของการเสริมกำลังทางทหารให้ไต้หวัน
โดยอ้างว่าป้องกันไม่ให้ปักกิ่งคิดจะบุกไต้หวันด้วยกำลังทหาร
กฎหมายที่ว่านี้สะท้อนถึงการเรียกร้องให้เพิ่มความร่วมมืออย่างเปิดเผยกับไต้หวัน
เพื่อพยายามกำหนดว่าสหรัฐฯ จะสนับสนุนกองทัพของเกาะได้ดีที่สุดอย่างไร
ในอดีต รัฐบาลสหรัฐฯ มีนโยบายสาธารณะค่อนข้าง “คลุมเครือ” ในประเด็นนี้
โดยเขียนไว้ในกฎหมายว่าสหรัฐฯจะช่วยไต้หวันเสริมสร้างศักยภาพในการป้องกันตัวเองจากภัยรุกราน
ไม่ได้ระบุว่าจะต้องส่งทหารมาช่วยไต้หวันรบหากจีนแผ่นดินใหญ่บุก
โดยทางการแล้ว สหรัฐฯก็ยังประกาศว่าวอชิงตันยังคงยึดมั่นในนโยบาย 'จีนเดียว'
เอกสารทางการของสหรัฐฯจะเขียนว่า
“จนถึงทุกวันนี้ จุดยืน 'จีนเดียว' ของสหรัฐฯ ยังคงอยู่: สหรัฐฯ ยอมรับ เป็นรัฐบาลตามกฎหมายแต่เพียงผู้เดียวของจีน แต่ยอมรับจุดยืนของจีนที่ว่าไต้หวันเป็นส่วนหนึ่งของจีนเท่านั้น”
“ด้วยเหตุนี้ สหรัฐฯ จึงรักษาความสัมพันธ์อย่างเป็นทางการกับจีนและมีความสัมพันธ์อย่างไม่เป็นทางการกับไต้หวัน”
แต่ในช่วงหลังนี้มีการถกแถลงกันในเรื่องของจุดยืนนี้ร้อนแรงขึ้น
โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากหลายครั้งที่ประธานาธิบดีโจ ไบเดนของสหรัฐฯ ประกาศยืนยันว่าวอชิงตันจะเข้าไปเกี่ยวข้องหากเกิดเหตุการณ์ที่จีนรุกรานไต้หวัน
แต่เจ้าหน้าที่ทำเนียบขาวออกมา “ชี้แจง” เพิ่มเติมด้วยการอธิบายว่าสหรัฐฯ ยังคงยืนหยัดนโยบายจีนเดียว และจะไม่ถอยห่างจากนโยบายดังกล่าว
เว้นแต่จะมีการเปลี่ยนแปลงนโยบายอย่างเป็นทางการ
แต่ในทางปฏิบัติ วอชิงตันกลับทำประหนึ่งว่าคำว่า “จีนเดียว” เป็นเพียงนโยบายบนกระดาษเท่านั้น
เพราะยังเพิ่มจำนวนทหารสหรัฐฯ ที่จะส่งไปประจำการบนเกาะไต้หวัน
นั่นย่อมทำให้ปักกิ่งเดือดดาลและถือว่านี่คือการ “ตระบัตรสัตย์” ของวอชิงตัน
ยิ่งผู้นำไต้หวันอย่างประธานาธิบดีไช่ อิงเหวินด้วยแล้วก็ยิ่งตอกย้ำสม่ำเสมอว่าสหรัฐฯกับไต้หวันยังคงความสัมพันธ์ทั้งด้านความมั่นคงและการทูต (ไม่ต้องพูดถึงด้านเศรษฐกิจ) อย่างต่อเนื่องและยังจะขยายตัวไปเรื่อย ๆ
ความสัมพันธ์สามเส้าระหว่างไทเป ปักกิ่ง และวอชิงตันเข้าสู่ภาวะตึงเครียดเป็นพิเศษด้วยปัจจัยที่โยงกันหลายประการ
ไม่ว่าจะเป็นข้อพิพาทเรื่องดินแดนเหนือไต้หวันและทะเลจีนใต้
กรณี “บอลลูนสอดแนมจีน” ที่สหรัฐฯยิงตกเหนือน่านฟ้าสหรัฐฯ
หรือการรุกคืบอย่างเร่งรัดของจีนเองและการลงทุนอย่างหนักหน่วงในเทคโนโลยีทางทหารและระบบอาวุธระดับสูง
กระทรวงกลาโหมสหรัฐฯอ้างว่าจะพยายามหามาตรการที่จำเป็นเพื่อ “หลีกเลี่ยงไม่ให้สถานการณ์ลุกลามต่อไป” ในขณะที่ มั่นใจว่าไต้หวันสามารถป้องกันตัวเองได้
“สิ่งที่ยากต่อการตัดสินอย่างหนึ่งคือสิ่งที่จีนไม่พอใจอย่างแท้จริง” เจ้าหน้าที่สหรัฐฯ กล่าวกับสื่อ WSJ ของสหรัฐฯที่เปิดเผยแผนสหรัฐฯที่จะส่งทหารมะกันไปประจำการบนเกาะไต้หวันเพิ่มขึ้นในเร็ว ๆ นี้
การปรากฏตัวของทหารสหรัฐฯ ในไต้หวันที่เพิ่มขึ้น ประกอบกับการที่ไต้หวันส่งกำลังทหารเข้าประจำการที่เพิ่มขึ้นทำสถิติใหม่ ตอกย้ำถึงความเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ที่ขยายตัวระหว่างสองประเทศ
จีนจะตีความอย่างไรนั้นดูไม่ยาก เพราะต้องตีความว่าเป็นการแสดงความเป็นศัตรูของสหรัฐฯต่อจีนแน่นอน
อุณหภูมิตรงช่องแคบไต้หวันยิ่งร้อนแรงขึ้นเมื่อหน่วยข่าวกรองสหรัฐอ้างว่ามีสัญญาณแสดงให้เห็นว่าประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ของจีนได้สั่งให้กองทัพจีน “เตรียมพร้อมภายในปี 2027” ที่จะบุกไต้หวัน
ข้อความนี้ไม่ได้มาจาก “แหล่งข่าว” หากแต่มาจากปากของผู้อำนวยการของซีไอเอเลยทีเดียว
นายวิลเลียม เบอร์นส์บอกว่าตอนนี้จีนยังไม่พูดเรื่องนี้อย่างเปิดเผย และสหรัฐฯก็ยังไม่เชื่อว่าจีนจะมีศักยภาพในการบุกยึดไต้หวันได้ในช่วงนี้
และสี จิ้นผิงก็อาจจะกำลังสรุปบทเรียนของรัสเซียในการทำสงครามยูเครนเพื่อประเมินว่าปักกิ่งจะเดินหน้าเรื่องไต้หวันอย่างไร
ผู้อำนวยการซีไอเอบอกว่าสหรัฐฯ ต้อง “จริงจัง” กับแนวคิดของสี จิ้นผิงเรื่องนี้
แม้ว่าจะหลีกเลี่ยงความขัดแย้งทางทหารกับไต้หวันได้ยากก็ตาม
“อย่างน้อย เราก็ได้รับทราบตามที่เปิดเผยต่อสาธารณะว่าประธานาธิบดีสีได้สั่งให้กองทัพจีน PLA ซึ่งเป็นผู้นำทางการทหารของจีนเตรียมพร้อมที่จะบุกไต้หวันในปี 2027 แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าเขาจะตัดสินใจบุกในปีนั้นหรือปีอื่น ๆ เช่นกัน” เบิอร์นส์บอกกับ Face the Nation ของ CBS
ไต้หวันและจีนแยกทางกันในปี 1949 หลังสงครามกลางเมืองที่ยุติลงโดยพรรคคอมมิวนิสต์ควบคุมแผ่นดินใหญ่
ไต้หวันคือเกาะที่ปกครองตนเองนี้เรียกตัวเองว่าเป็นประเทศอธิปไตย แต่ไม่ได้รับการยอมรับจากองค์การสหประชาชาติหรือประเทศสำคัญใดๆ
ในปี 1979 ประธานาธิบดีจิมมี่ คาร์เตอร์ยอมรับรัฐบาลอย่างเป็นทางการในกรุงปักกิ่งและตัดความสัมพันธ์ระหว่างชาติกับไต้หวัน
ในช่วงเวลาเดียวกันนั้น สภาคองเกรสได้ผ่านกฎหมายTaiwan Relations Act หรือกฎหมายว่าด้วยความสัมพันธ์กับไต้หวัน
กลายเป็นการสร้างเกณฑ์มาตรฐานสำหรับความสัมพันธ์ที่ดำเนินมาถึงทุกวันนี้
ประธานาธิบดีไบเดนได้กล่าวว่ากองกำลังอเมริกันจะปกป้องไต้หวันหากจีนพยายามรุกราน
ทำเนียบขาวกล่าวว่านโยบายของสหรัฐฯ ไม่ได้เปลี่ยนแปลงในการระบุชัดเจนว่าวอชิงตันต้องการเห็นสถานะของไต้หวันได้รับการแก้ไขอย่างสันติ
ผอ. ซีไอเอเชื่อว่าถ้าจีนศึกษาประสบการณ์ของปูตินในยูเครน นั่นอาจจะทำให้ต้องคิดอะไรใหม่เกี่ยวกับไต้หวันก็ได้
นั่นอาจจะเป็นการสรุปของซีไอเอเองก็ได้
เพราะสี จิ้นผิงยืนยันมาตลอดว่าปักกิ่งจะพยายาม “รวมชาติ” กับไต้หวันอย่างสันติจนสุดความสามารถ
แต่หากจำเป็นต้องใช้กำลังเพื่อบรรลุเป้าหมายนี้ “เราก็จะไม่ลังเลที่จะทำเช่นนั้น”
ท้ายที่สุดอยู่ที่การประเมินสถานการณ์ของผู้นำจีนเมื่อเวลานั้นมาถึง!
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
มีแม้วไม่มีเรา! วัดใจจุดยืน 'พรรคส้ม' หลังทักษิณขีดเส้นแบ่งข้างทุกเวทีแล้ว
นายสุทธิชัย หยุ่น สื่อมวลชนอาวุโส โพสต์เฟซบุ๊กว่า "พรรคส้มกล้าไหม? มีแม้วไม่มีเรา!
ประเทศเดียวในโลก ‘นายกฯทับซ้อน’ มหันตภัยปี 2568
นายสุทธิชัย หยุ่น สื่อมวลชนอาวุโส โพสต์เฟซบุ๊กว่าสำนักวิจัยต่าง ๆ กำลังวิเคราะห์เพื่อพยากรณ์ว่าประเทศไทยจะต้องเผชิญกับความท้าทายสาหัสอะไรบ้างใน
‘หยุ่น’ ฟันเปรี้ยงรอดยาก! ชั้น 14 ดิ้นอย่างไรก็ไม่หลุด
นายสุทธิชัย หยุ่น สื่อมวลชนอาวุโส โพสต์เฟซบุ๊กว่า เรื่องชั้น 14 จะดิ้นอย่างไรก็หลุดยาก จึงเห็นการเฉไฉ, ตีหน้าตาย
บิ๊กเซอร์ไพรส์ 'สุทธิชัย หยุ่น' เล่นซีรีส์ 'The White Lotus ซีซั่น 3'
เรียกว่าสร้างความเซอร์ไพรส์อย่างต่อเนื่อง สำหรับซีรีส์ The White Lotus ซีซั่น 3 ซึ่งจะสตรีมผ่าน Max ในวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2025 เพราะนอกจากจะมี ลิซ่า-ลลิษา มโนบาล หรือ ลิซ่า BLACKPINK ไอดอลเกาหลีสัญชาติไทย ที่กระโดดลงมาชิมลางงานแสดงเป็นครั้งแรก ในบทของ มุก สาวพนักงานโรงแรม
ถามแสกหน้า 'ทักษิณ' จะพลิกเศรษฐกิจไทยยังไง ทุกซอกมุมในสังคมยังเต็มไปด้วยทุจริตโกงกิน
นายสุทธิชัย หยุ่น นักวิเคราะห์ข่าวและผู้ดำเนินรายการข่าวชื่อดัง โพสต์เฟซบุ๊ก ถึงกรณีนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ว่า “เขาจะพลิกประเทศไทยให้เศรษฐกิจล้ำโลกได้หรือ
เขตเศรษฐกิจพิเศษชายแดนที่กลายเป็น ที่ซ่องสุมของอาชญากรรมข้ามชาติ
เมื่อวานเขียนถึงรายงานในสำนักข่าวชายขอบที่สำนักจะได้รับความสนใจของรัฐบาลไทยว่าด้วยกิจกรรมอาชญากรรมข้ามชาติในบริเวณ “เขตเศรษฐกิจพิเศษ” ที่สามเหลี่ยมทองคำ