อย่าให้ AI ฉลาดเกินกว่า ที่มนุษย์จะควบคุมได้!

ผู้คนในหลายวงการกำลังวิเคราะห์ว่าหาก ChatGPT ที่สามารถตอบคำถามของมนุษย์ได้อย่างชาญฉลาดและแม่นยำในระดับที่ไม่เคยคาดคิดมาก่อน

คำถามในหลายๆ วงการวันนี้ก็คือ หากมันฉลาดขึ้นไปเรื่อยๆ เจ้าโปรแกรมนี้จะมีผลกระทบต่ออาชีพและสังคมโลกโดยส่วนรวมอย่างไรบ้าง

ผมกำลังเปรียบเทียบความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่เมื่อเกิด Personal Computer หรือ PC เป็นครั้งแรกเมื่อหลายสิบปีก่อน

ตามมาด้วยมือถือ หรือ smart phones เช่น Iphone ที่มีความชาญฉลาดจนทุกวันนี้มนุษย์ขาดมันไม่ได้อีกต่อไป

ครั้งนี้ ChatGPT กำลังจะเขย่าโลกอย่างรุนแรงแบบเดียวกันเช่นนั้นหรือไม่

นั่นคือคำถามที่น่าสนใจที่เราต้องหาคำตอบให้ได้

ที่อเมริกาอันเป็นจุดกำเนิดของ ChatGPT (โดยบริษัท OpenAI) เหล่าบรรดานักการเมืองและนักวิเคราะห์ก็กำลังถกแถลงประเด็นนี้กันอย่างกว้างขวาง

ประเด็นที่เหล่าบรรดาสมาชิกสภาผู้แทนฯ และสมาชิกวุฒิสภาสหรัฐฯ วิเคราะห์กันอยู่ขณะนี้เน้น 2 เรื่องหลัก

คือผลกระทบด้านบวกและลบต่อการศึกษาและความมั่นคงแห่งชาติ

ที่เขาต้องลุกขึ้นมาทำความเข้าใจก็เพราะ ChatGPT ได้สร้างกระแสความสนใจอย่างสูง

มีผู้ใช้ 100 ล้านคนต่อเดือน หลังเปิดตัวได้ไม่กี่เดือน

สร้างสถิติเป็นโปรเเกรมคอมพิวเตอร์ที่มีอัตราเติบโตของผู้ใช้เร็วที่สุดในประวัติศาสตร์กันเลยทีเดียว

และพร้อมกับความน่าตื่นเต้นก็คือ ความกังวลว่ามันจะมีผลกระทบทางลบอย่างไร

เช่น วิตกกันว่าจะใช้มันเพื่อเผยเเพร่ข้อมูลบิดเบือนอย่างไร

ทันทีทันใดก็มีคนแสดงความกังวลว่าจะมีผลกระทบในแวดวงการศึกษาทันทีอย่างไร

เพราะกลัวว่านักเรียน นักศึกษาอาจใช้ ChatGPT ช่วยทำการบ้านหรือทำ-ข้อสอบเเทนตัวเอง

ซึ่งก็มีความเป็นไปได้สูงพอสมควร หากไม่มีการปรับระบบการเรียนการสอนให้ใช้คุณสมบัติทางด้านบวก แทนที่จะให้ผลด้านลบมาครอบงำแทน

ส.ส.เทด ลิว จากพรรคเดโมเเครต หนึ่งในคณะกรรมาธิการวิทยาศาสตร์ของสภาผู้เเทนราษฎรสหรัฐฯ แสดงความเห็นผ่านบทความใน New York Times ว่าเขาเห็นปัญหานี้ทั้ง 2 ด้าน

ด้านดีคือจะใช้ AI ช่วยให้สังคมพัฒนาในอนาคตอย่างไร้ขีดจำกัด

แต่ด้านลบคือ กังวลว่าจะเกิดอะไรขึ้นถ้าเจ้า “ปัญญาประดิษฐ์” อันชาญฉลาดนี้อยู่นอกเหนือการถูกตรวจสอบ

หรือหากไม่มีกฎเกณฑ์มากำกับควบคุมไม่ให้ออกนอกลู่นอกทาง

ว่าแล้วแกก็ลองใช้ ChatGPT ทำงานให้ตัวเองทันที

นั่นคือให้มันเขียนญัตติที่จะเสนอต่อสภา

ร่างญัตตินั้นเรียกร้องให้สภาคองเกรสให้ความสนใจกับวิวัฒนาการของ AI ที่กำลังมีบทบาทสำคัญมากขึ้นทุกวัน

สาระบางตอนที่ ChatGPT ช่วยเขียนให้กับ ส.ส.คนนี้บอกว่า

"เพื่อให้เกิดความมั่นใจว่าการพัฒนาและการใช้ AI จะเป็นไปอย่างปลอดภัยและสอดคล้องกับหลักจริยธรรม รวมทั้งเคารพสิทธิและความเป็นส่วนตัวของชาวอเมริกันทุกคน"

และเสริมต่อว่า "ประโยชน์จากการพัฒนา AI ควรกระจายสู่สังคมอย่างกว้างขวาง และความเสี่ยงจากปัญญาประดิษฐ์จะต้องถูกจำกัดให้อยู่ในระดับต่ำ"

ที่น่าทึ่งคือ ข้อความนี้เขียนโดย ChatGPT ที่เป็น AI เองโดยแท้

ที่เป็นประเด็นร้อนในเหล่าบรรดานักการเมืองของสหรัฐฯ ที่กำลังพยายามจะร่างกฎหมายเพื่อกำกับดูแล AI นั้นมีความกังวลว่าจะทำอย่างไรจึงทำให้การตัดสินใจของ AI นั้นหลีกเลี่ยง “อคติ” ในการประมวลผล

ซึ่งอาจจะนำไปสู่การเหยียดคนบางกลุ่ม สร้างความได้เปรียบเสียเปรียบบนพื้นฐานของผิว, เพศและสถานภาพทางสังคมที่โยงกับเรื่องที่อยู่อาศัย หรือโอกาสการจ้างงาน เป็นต้น

เพราะหากมีการป้อนข้อมูลที่มีความลำเอียงไปด้านใดด้านหนึ่ง ก็อาจจะนำไปสู่โปรแกรมที่เอียงกระเท่เร่จนกลายเป็นปัญหาสังคมที่เกิดจาก “ปัญญาประดิษฐ์” ได้เช่นกัน

ความกังวลหลักๆ ที่เกิดขึ้นในระยะแรกคือ ความกลัวว่า AI อาจจะถูกใช้ในการช่วยนักเรียนทำข้อสอบหรือทำการบ้านโดยที่เจ้าตัวไม่มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับบทเรียนนั้นๆ เลย

หรือแม้แต่ครูผู้สอนเองก็อาจจะใช้มันเพื่อหลบเลี่ยงการเตรียมการสอนอย่างที่คนเป็นครูควรจะต้องทำ

ความกังวลนี้เองที่ทำให้โรงเรียนในนครนิวยอร์กและนครซีเเอตเติลประกาศห้ามใช้ ChatGPT ไปแล้วก่อนหน้านี้

เพราะตัวบริษัท OpenAI ที่เป็นเจ้าของ ChatGPT เองก็ไม่ต้องการถูกมองว่าเป็นตัวการที่สร้างปัญหานี้

โดยออกเเถลงการณ์ว่า "เราไม่ต้องการให้ ChatGPT ถูกใช้เพื่อการเบี่ยงเบนจุดประสงค์ที่เเท้จริง" ด้านการศึกษา

และประกาศว่าทางบริษัทยินดีรับฟังความคิดเห็นจากฝ่ายต่างๆ ทั้งรัฐบาลและผู้กำกับดูแลประชาชนทั่วไปเพื่อปรับปรุงให้ระบบนี้ตอบโจทย์ความต้องการของสังคม และหลีกเลี่ยงปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้นภายหลัง

และย้ำว่า "มันไม่เร็วเกินไปที่" ผู้กำกับดูเเล หรือ regulators จะเข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป

อีกทั้งยังมีความกังวลด้านความมั่นคงของประเทศอีกด้วย

เพราะกลัวว่าบุคคลหรือองค์กรนอกรัฐบาลอาจใช้ระบบ AI สร้างข้อมูลบิดเบือนที่อาจเป็นภัยต่อสหรัฐฯ ได้

มีคนลองเขียนเข้าไปถามเจ้า ChatGPT นี้เองว่าควรจะต้องมีวิธีกำกับดูเเลเรื่องนี้เกี่ยวกับตัวเองอย่างไร ก็ได้รับคำตอบจาก AI เองว่า

"โมเดลของ AI ของเรามีความเป็นกลาง ข้าพเจ้าไม่มีความเห็นเกี่ยวกับกฎหมายที่เฉพาะเจาะจง ที่อาจจะ หรืออาจจะไม่ถูกใช้เพื่อกำกับดูเเลระบบเอไอเเบบเดียวกับข้าพเจ้า"

แต่ก็เสริมว่า หากจะมีการกำกับดูแลก็ควรคำนึงถึงหัวข้อที่ regulators ควรให้ความสนใจเป็นพิเศษคือ ความเป็นส่วนตัว อคติ ความเป็นธรรม และความโปร่งใสในการประมวลผล

นี่คือการตอบคำถามที่เกี่ยวกับตัวเอง...ยังพยายามจะ “ดำรงความเป็นมืออาชีพ” อย่างน่าสนใจ

มีความ “ไม่ธรรมดา” อยู่หลายๆ มิติทีเดียว.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ประเทศเดียวในโลก ‘นายกฯทับซ้อน’ มหันตภัยปี 2568

นายสุทธิชัย หยุ่น สื่อมวลชนอาวุโส โพสต์เฟซบุ๊กว่าสำนักวิจัยต่าง ๆ กำลังวิเคราะห์เพื่อพยากรณ์ว่าประเทศไทยจะต้องเผชิญกับความท้าทายสาหัสอะไรบ้างใน

บิ๊กเซอร์ไพรส์ 'สุทธิชัย หยุ่น' เล่นซีรีส์ 'The White Lotus ซีซั่น 3'

เรียกว่าสร้างความเซอร์ไพรส์อย่างต่อเนื่อง สำหรับซีรีส์ The White Lotus ซีซั่น 3 ซึ่งจะสตรีมผ่าน Max ในวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2025 เพราะนอกจากจะมี ลิซ่า-ลลิษา มโนบาล หรือ ลิซ่า BLACKPINK ไอดอลเกาหลีสัญชาติไทย ที่กระโดดลงมาชิมลางงานแสดงเป็นครั้งแรก ในบทของ มุก สาวพนักงานโรงแรม

ถามแสกหน้า 'ทักษิณ' จะพลิกเศรษฐกิจไทยยังไง ทุกซอกมุมในสังคมยังเต็มไปด้วยทุจริตโกงกิน

นายสุทธิชัย หยุ่น นักวิเคราะห์ข่าวและผู้ดำเนินรายการข่าวชื่อดัง โพสต์เฟซบุ๊ก ถึงกรณีนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ว่า “เขาจะพลิกประเทศไทยให้เศรษฐกิจล้ำโลกได้หรือ

เขตเศรษฐกิจพิเศษชายแดนที่กลายเป็น ที่ซ่องสุมของอาชญากรรมข้ามชาติ

เมื่อวานเขียนถึงรายงานในสำนักข่าวชายขอบที่สำนักจะได้รับความสนใจของรัฐบาลไทยว่าด้วยกิจกรรมอาชญากรรมข้ามชาติในบริเวณ “เขตเศรษฐกิจพิเศษ” ที่สามเหลี่ยมทองคำ