เมื่อฝ่ายค้านยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจลุงตู่ และมีการกำหนดวันเอาไว้ว่าจะเป็นวันที่ 15-16 กุมภาพันธ์ 2566 FC ของลุงตู่หลายคนหวั่นไหว เกรงว่าลุงตู่จะโดนยำจนเละ เพราะฝ่ายค้านคงตั้งใจมาด่า มาแซะ มาด้อยค่าลุงตู่ทั้งด้านส่วนตัวและด้านการทำงาน บางคนก็คิดว่าลุงตู่น่าจะกลัวจนอาจจะประกาศยุบสภาหนีการซักฟอกครั้งนี้ บางคนก็คาดการณ์ว่าจะมีการทำให้สภา
ล่มเพื่อไม่ให้มีการอภิปรายเกิดขึ้น แต่สำหรับเรานั้นไม่ได้มีความรู้สึกกลัวอะไรเลย และเราก็มั่นใจด้วยว่าลุงตู่จะไม่ทำอะไรที่เป็นการหลบการอภิปรายครั้งนี้ ไม่ว่าจะเป็นการยุบสภาหรือการทำให้สภาล่ม และแล้วการคาดการณ์ของเราก็เป็นจริง ลุงตู่ไม่ยุบสภา และเช้าวันที่ 15 กุมภาพันธ์ สภาก็ไม่ล่ม บรรดา ส.ส.มากันมากพอที่ทำให้ครบองค์ประชุม แล้วการประชุมก็ดำเนินไปได้ด้วยลีลาที่เหมือนหนังที่มีโครงเรื่องเดิมๆ ลีลาการแสดงแบบเดิมๆ ท่าทีการนำเสนอพยายามจะให้ดุเดือดแต่เนื้อหาดูเนือยๆ ไม่ชวนให้ตื่นเต้น เพราะมันเหมือนการตัดแปะ ถ้าใช้ภาษา Cyber ของการทำการบ้านของนักศึกษาบางคนในยุคนี้ก็คือ การคัดลอกของคนอื่นแล้วเอามาแปะเป็นงานของตนเอง ที่เรียกว่า Copy and Paste
มันไม่มีอะไรใหม่จากการอภิปรายครั้งที่ผ่านๆ มา ส่วนเนื้อหาที่เพิ่มเติมมาก็ไม่ได้ใหม่ เพราะคนที่ติดตามข่าวสารบ้านเมืองก็พอจะรู้เรื่องที่อภิปรายกันมามากพอแล้วจากสื่อมวลชนสำนักต่างๆ ทั้งทางวิทยุ ทางโทรทัศน์ ทางหนังสือพิมพ์ และทางนิตยสาร รวมทั้งได้อ่านจากข้อความบ้าง ได้ดูจาก Video Clip และ Info graphic ที่นำเสนอกันใน Social Media ต่างๆ บ้าง และที่สังเกตได้ก็คือเป็นวาทกรรมเสียเป็นส่วนใหญ่ หาความจริงเชิงประจักษ์ได้ยาก ถ้าหากมีหลักฐานบางอย่างที่นำเอามาใช้ก็เกิดจากการ “โยง” ที่พยายามจะสาวมาให้ถึงตัวลุงตู่ให้ได้ ไม่ว่าใครทำอะไรไม่ถูกไม่ต้อง ก็จะให้ลุงตู่รับผิดชอบคนเดียว ไม่มีหัวหน้าคนไหนต้องรับผิดชอบทั้งสิ้น ถ้าหากจะเอากันแบบนี้ก็ไม่ต้องเสียงบประมาณจ่ายเงินเดือนรัฐมนตรีคนอื่นๆ ไม่ต้องมีปลัดกระทรวง ไม่ต้องมีอธิบดี ไม่ต้องมีผู้ว่าราชการจังหวัด ไม่ต้องมีนายก อบจ. ไม่ต้องมีนายกเทศมนตรี และไม่ต้องมีอีกหลายๆ ตำแหน่ง จะได้ไม่ต้องเปลืองงบประมาณ ทุกอย่างลุงตู่เป็นนายกรัฐมนตรีต้องรับผิดชอบคนเดียว แต่บางเรื่องลุงตู่ลงไปเร่ง ไปจัดการ ก็หาว่าข้ามหน้าข้ามตารัฐมนตรีเจ้ากระทรวง ตกลงจะเอายังไง สองมาตรฐานชัดๆ ตั้งหน้าตั้งตาจัดการลุงตู่อย่างเดียว รู้นะว่า “กลัวลุง” ใช่ไหมล่ะ
อีกเรื่องหนึ่งที่พยายาม “โยง” หาตัวลุงตู่ให้ได้ก็คือ ถ้าหากคนทำผิดเป็นคนใกล้ชิดกับลุงตู่ ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนร่วมรุ่น เพื่อนร่วมงาน หรือเป็นญาติ หากทำอะไรไม่ดิบไม่ดี ไม่ถูกไม่ต้อง ลุงตู่ต้องรับผิดชอบ พูดจาเหมือนลุงตู่ปกป้องคนเหล่านั้น ไม่ให้เอาผิดกับคนเหล่านั้น ไม่คิดจะไปทวงถามเอากับคนที่มีหน้าที่ในการบังคับใช้กฎหมาย ทั้งๆ ที่ลุงตู่บอกไปแล้วว่าหากใครทำผิด คนที่มีหน้าที่ก็ต้องดำเนินการ ไม่ไว้หน้าใครทั้งนั้น และเชื่อว่าหลายเรื่องก็กำลังดำเนินการอยู่ แต่จะให้สั่งปุ๊บทุกอย่างจบสิ้นปั๊บมันคงไม่ใช่ ต้องเข้าใจขั้นตอนของกระบวนการยุติธรรมด้วย ที่พูดกันนั้นดูเหมือนจะพยายามพูดว่าลุงตู่ปกป้องคนผิด หรือข้าราชการกลัวอำนาจลุงตู่จนไม่กล้าเอาผิดคนที่ใกล้ชิดหรือเกี่ยวพันกับลุงตู่ ถ้าหากคนพวกนั้นคิดเช่นนั้นแล้วเราจะตัดสินให้ลุงตู่เป็นคนผิดเพราะคนกลัวอำนาจของลุงตู่กระนั้นหรือ ลุงตู่เคยแสดงอำนาจเอาผิดใครที่ไปเล่นงานเพื่อนหรือญาติลุงตู่เป็นตัวอย่างอะไรบ้าง หรือถ้ามีการกลัวกันจริง มันเป็นเพราะคนพวกนั้นคิดไปเองหรือเปล่าว่าไม่ควรไปทำอะไรที่เป็นการเอาผิดกับเพื่อนหรือญาติลุงตู่
เรื่องที่เอามาพูดกันนั้น หลายเรื่องสวนทางกับความเป็นจริง เช่น 5-8 ปีไม่มีผลงาน (แท้ที่จริงแล้วมีมาก ลุงตู่บอกว่าจะสั่งให้เจ้าหน้าที่นำเสนอใน Social Media) ให้ดู หรือบอกว่า 8 ปี ประเทศชาติถดถอย เศรษฐกิจตกต่ำ (แท้ที่จริงเศรษฐกิจเดินหน้าได้ดีมาก ดีกว่าหลายๆ ประเทศที่ต่างก็เผชิญกับปัญหาวิกฤตไวรัสโควิด-19 ด้วยกันทั้งนั้น) ที่ร้ายที่สุดก็คือการบอกว่า การท่องเที่ยวไทยเป็นเหมือนบ่อน้ำเน่า ใครที่พูดเช่นนี่นั่นแหละที่จะถูกมองว่าเป็นคนจิตใจเน่า สมองเน่า การท่องเที่ยวดีแค่ไหน ดีระดับใด ในประชาคมโลกเป็นที่รับรู้กันทั่วไป ในการจัดอันดับเรื่องการท่องเที่ยวด้านต่างๆ ประเทศไทยและจังหวัดต่างๆ ในประเทศไทยติดอันดับต้นๆ เป็นที่ 1 ก็มาก เป็น Top 3 ก็มีไม่น้อย และเป็น Top 10 ก็ไม่รู้กี่ด้าน นักท่องเที่ยวนิยมมาเที่ยวเมืองไทย แล้วนำคำชมไปเผยแพร่ใน Social Media มากมาย ไม่รู้ไม่เห็น หรือแกล้งไม่รู้กันแน่
ไม่ว่าจะเอาเรื่องอะไรมาเล่น ถ้าหากเป็นการแข่ง Volley Ball ก็ต้องถือว่าเป็นการชงให้ลุงตู่ได้ตบเอาแต้ม การที่บอกว่า “หลอกด่าหาเสียง” กลายเป็น “หลอกด่าหาเรื่อง (คือหาเรื่องให้โดนย้อนศรจนสลบ)” หลายคนที่พูดนั้นเหมือนคนที่กำลังยืนด่าอยู่หน้ากระจก ประธานคนทำหน้าที่ด่าอยู่หน้ากระจก กรรมที่เป็นผู้ถูกด่าอยู่ในกระจก แบบนี้เขาเรียกว่า “ขว้างงูไม่พ้นคอ” นะ งูมันกลับมาพันคอตัวเอง ว่างๆ เปิดเพลง Boomerang ของพี่เบิร์ดฟังบ้างนะ แล้วใช้เบ้าสมองตรองให้ดี จะได้เข้าใจแนวคิดที่อยู่ในเนื้อเพลง ถ้าหากจะให้คะแนนกันแบบไม่มีอคติ ก็ขอบอกว่าการอภิปรายไม่ไว้วางใจครั้งนี้คือการเปิดโอกาสให้ลุงตู่ได้หาเสียงด้วยการเล่าผลงานของตนเอง ลุงตู่ได้คะแนนเพิ่มเพราะ “ลูกตบ” ฝ่ายค้านน่าจะเสียคะแนนเพราะ “ลูกชง” จะบอกให้นะว่า ถ้าหากไม่มีฝีมือ เรื่องแบบนี้อย่าหาเรื่องมาทำ ป่านนี้เจ้าของคอกไม่เห่ากระโชกใส่แบบไม่ยั้งแล้วเหรอ กระดูกอ่อนกันจริงๆ นะพ่อคุณแม่คุณทั้งหลาย ต้องฝึกอีกนานที่จะชงถูกทิศถูกทางเพื่อหลบลูกตบให้ได้
ทำอะไรลุงตู่ไม่ได้ก็อย่าไปตีกิน หาว่าลุงตู่มีอำนาจ จนไม่สามารถตรวจสอบการทุจริตของลุงตู่ ไม่ได้นะ เพราะที่ผ่านมาถือว่าได้ตรวจสอบเต็มที่แล้ว แต่ไม่เจอ และที่ไม่เจอก็เพราะมันไม่มี แต่ออกมาพูดตีกินว่าลุงตู่มีอำนาจมากจนไม่สามารถทำอะไรลุงตู่ได้ อันที่จริงลุงตู่นั้นต้องเผชิญกับไส้ศึกมากมาย ทั้ง ส.ส. พวกเดียวกันที่เป็นงูเห่าคอยแว้งกัดเพราะได้ผลประโยชน์ และข้าราชการบางคนที่ยังภักดีกับอำนาจเก่าด้วยซ้ำไป ถ้าหากมีทุจริตจริงมีหรือจะหาไม่เจอ ดังนั้นสรุปได้ว่า “ที่ไม่เจอ เพราะมันไม่มี” เข้าใจตรงกันนะ.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
ลัคนาธนูกับเค้าโครงชีวิตปี 2568
ยังอยู่ในช่วงเจ็ดปีของการเปลี่ยนแปลงใหญ่สุขภาพอนามัย-หนี้สิน-ลูกน้องบริวาร และเกือบตลอดปีผู้หลักผู้ใหญ่อวยสถานะ-ยศ-เงินทองให้ แต่มีช่วงซ้อมรับทุกข์และการได้ความผิดที่ไม่ได้ก่อ
ดร.เสรี ลั่นรังเกียจ วาทกรรมแซะสถาบัน
ดร.เสรี วงษ์มณฑา นักวิชาการด้านการตลาดและการสื่อสารโพสต์เฟซบุ๊กว่า เกิดวาทกรรมใหม่ "ใบอนุญาตที่ 2"
เด็กฝึกงาน...ไม่ผ่านโปร
ฉากทัศน์ทางการเมืองของประเทศไทยหลังจากรู้ผลของการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2566 เป็นภาพที่สร้างความกังวลให้กับคนไทยจำนวนมากที่ไม่ได้เลือกพรรคส้มหรือพรรคแดง
'ความเป็นไทย' กับกรณีน้ำท่วมภาคเหนือ-ภาคใต้
ถึงแม้จะก่อเกิด ถือกำเนิด ที่อำเภอชะอำ จังหวัดเพชรบุรี...แต่ด้วยเหตุเพราะไปเติบโตที่ภาคใต้ ไม่ว่าเริ่มตั้งแต่อำเภอทุ่งสง จังหวัดหน่ะคอนซี้ทำหมะร่าด ไปจนอำเภอกันตัง
ได้ฤกษ์ 'นายพล' ล็อต 2
ผ่านเดดไลน์ตามคำสั่ง ผบ.ต่าย-พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ให้ทุกหน่วยส่งบัญชีข้อมูลผู้เหมาะสมเลื่อนตำแหน่งสูงขึ้น
'ดร.เสรี' กรีดเหวอะ! ใครมีลูกสาวเก่งพอที่จะเป็นนายกฯ ต้องบอกลูกให้มีผัว 9 คนอยู่ใน 9 ภาค
ดร.เสรี วงษ์มณฑา นักวิชาการด้านการตลาดและการสื่อสารโพสต์เฟซบุ๊กว่า ใครมีลูกสาวที่เก่งพอที่จะเป็นนายกรัฐมนตรีได้ ต้องบอกลูกนะคะ