บทเรียนแห่งประวัติศาสตร์!!!

    ช่วงปลายๆ...ระหว่างที่อาจารย์ จิรายุ อิศรางกูร ณ อยุธยา ท่านยังคงดำรงสถานะเป็น ผู้อำนวยการทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ ท่านเคยชี้แนะ ชี้นำ ชวนให้แวะๆ ไปแถวๆ ประเทศพม่า หรือเมียนมา ไปลองรับฟังข่าวคราวที่ว่ากันว่ามีชาวพม่าบางกลุ่ม บางราย อ้างว่าได้ค้นพบที่ฝังพระศพของ เจ้าฟ้าอุทุมพร อดีตกษัตริย์ไทยซึ่งถูกกวาดต้อนไปยังพม่า เมื่อคราว กรุงศรีอยุธยาแตกครั้งที่ 2

    แต่ก็อย่างว่า...แม้ช่วงนั้นจะเมื่อเกือบสิบปีที่แล้ว แต่เมื่อตระหนัก สำนึก ถึงความแก่ ความชราภาพ ของอันตัวข้าพเจ้าเอง ที่ไม่เพียงแต่เป็นอุปสรรคต่อการไปไหน-มาไหน แถมพาสป่ง พาสปอร์ต ก็ขาดอายุไปนานแล้ว เลยหนีไม่พ้นต้อง ขอบาย ไม่สามารถดั้นด้นเดินทางไปถึงประเทศพม่า

ทั้งที่เรื่องราวดังกล่าว ออกจะเป็นอะไรที่น่าสนใจ น่าคิด-น่าสะกิดใจ มิใช่น้อย ได้แต่หันมาพึ่งบริการของพรรคพวก เพื่อนฝูง ในบ้านเฮา คือได้แต่ลองสืบๆ เอาจากคุณพี่ เอนก สีหามาตย์ อดีตอธิบดีกรมศิลปากร ผู้ที่ เมาไม่ขับ จนได้ดิบ ได้ดี ได้เป็นถึงอธิบดี ก่อนเกษียณอายุราชการไปเมื่อไม่นานมานี้...

    และโดย มาตรฐาน ของคุณพี่ เอนก สีหามาตย์ ซึ่งออกจะเป็น มาตรฐานสากล อยู่พอสมควร โอกาสที่จะสรุปว่าการค้นพบที่ฝังพระศพ พบซากพระอัฐิ พบเครื่องมือ-เครื่องใช้บางอย่าง บางประการ ขณะที่ท่านทรงผนวชเป็นพระอยู่ในประเทศพม่านั้น น่าจะเป็นข้อสรุปแบบดื้อๆ ทื่อๆ ไปซักหน่อย เพราะตามมาตรฐานสากล หรือมาตรฐานของคุณพี่ เอนก นั้น ยังต้องอาศัย องค์ประกอบ อีกหลายอย่าง หลายประการ ถึงจะสามารถฟันธงและฟันเฟิร์มกันได้ถนัดๆ ไม่งั้นอาจต้องเจอการ ออกอาวุธโต้ ของบรรดานักประวัติศาสตร์รายอื่นๆ เหมือนอย่างเรื่องราวทางประวัติศาสตร์หลายเรื่อง หลายกรณี ไม่ว่าบ้านเราหรือบ้านอื่น-เมืองอื่น ที่มักเจอกับการโต้กันไป-โต้กันมาอย่างมิมีที่รู้จบ จนทำให้สิ่งที่เรียกว่า ประวัติศาสตร์ เป็นอะไรที่มึนซ์ซ์ซ์-เบลออ์อ์อ์ๆ มาโดยตลอด ถึงขั้นกลายเป็นสิ่งที่น่าเบื่อสำหรับบรรดาพวก คนรุ่นใหม่ ไปเลยก็มี...

    แต่ถึงจะหาข้อสรุปไม่ได้ หาจุดลงตัวไม่เจอ เรื่องราวของอดีตกษัตริย์ไทย ที่ต้องนิราศห่างเหไปอยู่ถึงเมืองพม่า ก็ยังคงเป็นอะไรที่น่าสนใจ น่าคิดสะกิดใจ โดยเฉพาะสำหรับบรรดาทวยไทยอย่างเราๆ-ทั่นๆ ทั้งหลาย ที่ไม่เพียงแต่อยากรู้ อยากสัมผัสกับ ข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์ แต่ยังเต็มไปด้วยความห่วงหา-อาลัย ความสะทกสะท้อนใจ ต่อฉากเหตุการณ์น่าเศร้า น่าสะเทือนใจ ที่แม้จะเกิดขึ้นเมื่อกว่า 200 ปีที่แล้ว แต่ยังคงฝังตรึงอยู่ในอารมณ์-ความรู้สึกของบรรดาทวยไทยทั้งหลาย จนตราบเท่าทุกวันนี้ ไม่ว่าในแง่ความตระหนัก สำนึก ต่อบทบาท ภาระหน้าที่ ความรับผิดชอบ ของอดีตกษัตริย์พระองค์นี้ ไปจนถึงในแง่บทเรียน บทศึกษา ที่สามารถนำมาใช้เป็นเครื่องเตือนใจ เตือนสติ ในหลายต่อหลายกรณี...

    คือเรื่องราวทางประวัติศาสตร์นั้น...อันที่จริงก็คงไม่ใช่เรื่องลึกลับ ซับซ้อน พิสดาร แต่อย่างใด เพราะล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องที่เกิดขึ้น-ตั้งอยู่-และดับไป ภายใต้ กฎเหล็กแห่งธรรมชาติ ไปด้วยกันทั้งสิ้น ทั้งปวง นั่นแล หรือต่างเป็นเพราะ... ด้วยเหตุเพราะสิ่งนี้-สิ่งนี้...สิ่งนี้จึงเป็นไป ตามหลัก อิทัปปัจจยตา-ปฏิจจสมุปบาท ด้วยกันทั้งนั้น แต่คงต้องยอมรับเอาจริงๆ นั่นแหละว่า บางครั้ง-บางครา บรรดา สิ่งนี้-สิ่งนี้ ที่ได้อุบัติขึ้นมา ก็ยังเป็นอะไรที่ยากจะอธิบาย ยากจะหาเหตุ-หาผล หรือหาคำตอบกันได้ง่ายๆ จนเผลอๆ...อาจแทบไม่ต่างอะไรไปจาก โชคชะตา หรือ พรหมลิขิต เอาเลยถึงขั้นนั้น...

    อย่างเช่น...กรณี เจ้าฟ้าอุทุมพร ที่โดยเรื่องราวความเป็นมาทางประวัติศาสตร์ ค่อนข้างสะท้อนให้เห็นถึงความโดดเด่น ความสอดคล้อง เหมาะสม กับสถานะความเป็น กษัตริย์ มิใช่น้อย แต่ก็ยากจะหาคำตอบ คำอธิบาย ว่าด้วยเหตุผลกลใดท่านจึงทรงได้ชื่อ ฉายา ว่า ขุนหลวงหาวัด ต้องเข้าๆ-ออกๆ ระหว่างความเป็นกษัตริย์กับความเป็นนักบวช นักพรต จนท้ายที่สุด...เลยหนีไม่พ้นต้องเจอกับฉากเหตุการณ์ กรุงแตก ต่อหน้า-ต่อตาของพระองค์ท่านจนได้ หรือก่อให้เกิด คำถาม ยิ่งไปกว่านั้น...ว่าถ้าท่านยังทรงดำรงตำแหน่งเป็นพระมหากษัตริย์อยู่ต่อไป กรุงศรีอยุธยาจะแตก-ไม่แตก หรือไม่? อย่างไร? หรือเป็นเพราะ โชคชะตา เป็นเพราะ พรหมลิขิต ที่ดลบันดาลให้ทุกสิ่ง-ทุกอย่างต้องเป็นไปตามนั้น!!!

    สิ่งที่เรียกว่า ประวัติศาสตร์ จึงเป็นอะไรที่ออกจะลึกลับ ซับซ้อนและพิสดาร ด้วยประการฉะนี้ เพราะโอกาสที่จะหาคำตอบ คำอธิบาย ถึงการอุบัติขึ้นมาของ สิ่งนี้-สิ่งนี้ อันเป็นมูลเหตุ เป็นเหตุปัจจัย ให้ สิ่งนี้...ต้องเป็นไป มันเป็นอะไรที่เกินไปกว่าความรับรู้ ไม่ใช่แต่เฉพาะของผู้คนในยุคปัจจุบันเท่านั้น แต่แม้กระทั่งผู้ที่มีชีวิตอยู่ในครั้งประวัติศาสตร์ก็เถอะ สิ่งที่ถือเป็นบทเรียน บทศึกษา หรืออาจถือบทสรุปของสิ่งที่เรียกว่า ประวัติศาสตร์ ก็เลยน่าจะอยู่ที่ความระมัดระวัง หรือการไม่ตั้งมั่นอยู่ใน ความประมาท นั่นแหละเป็นสำคัญ การมุ่งมั่นเพียรพยายามที่จะก้าวเดินไปตาม ครรลอง-คลองธรรม โดยมิยอมให้เกิดความพลั้งเผลอ หรือพลั้งพลาด เป็นเด็ดขาด!!!.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

“ความจริง”เครื่องมือชิ้นสุดท้ายในห้วง“กลียุค”

นอกจากคนอินตะระเดียยุคโบร่ำโบราณ...ท่านจะแบ่งห้วงเวลาของแต่ละยุค ออกเป็น 4 ช่วง 4 ระยะ เริ่มจาก กฤตยายุค หรือ สัตตยายุค ที่บรรดาความดี-ความงาม-ความจริง ต่างมีอยู่ครบถ้วนสมบูรณ์ไปทั้ง 4 ส่วน

มติ 'ก.พ.ค.ตร.'

มีสัญญาณให้จับตา ต้นเดือนสิงหาที่กำลังจะมาถึงในอีกไม่กี่วัน ปมปัญหาเรื่องสถานะ บิ๊กโจ๊ก-พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. ภายหลังจากคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ (ก.ตร.)

อริยสัจ 4...หลักการดีที่ควรใช้

ประเทศไทยเป็นประเทศที่มีผู้คนนับถือศาสนาพุทธมากกว่า 92% และในคำสอนของศาสนาพุธก็มีอริยสัจ 4 เป็นหลักที่ใช้ในการแก้ปัญหาที่ยุ่งเหยิงไปสู่ความสงบ

โชคดี...ที่ตายก่อน!!!

เห็นข่าวคราวว่าด้วย หลานสาว ชาวไทยรายหนึ่ง...ซึ่งน่าจะเป็นปุถุชนคนธรรมดา ไม่ได้โดดเด่น โด่งดัง ใดๆ มาก่อนเลย แต่เมื่อเธอโพสต์คลิปวิดีโอ โดยตัวเธอเองนั่ง