เหตุการณ์ที่สะเทือนขวัญแฟนกีฬาอเมริกันฟุตบอลเมื่อคืนวันจันทร์ (เช้าวันอังคารบ้านเรา) ในเมือง Cincinnati รัฐ Ohio ระหว่างทีม Buffalo Bills กับ Cincinnati Bengals ถือว่าเป็นเหตุการณ์ที่ทั้งไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน และไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้น
ใน Quarter 1 (การแข่งขันอเมริกันฟุตบอลแบ่งออกเป็น 4 quarters หนึ่ง quarter เท่ากับ 15 นาที) ผู้เล่นคนหนึ่งฝ่ายรับ (defense) ของทีม Bills ได้เข้าไป tackle ผู้เล่นฝ่ายรุก (offence) ของทีม Bengals แบบปกติ ถึงแม้เกมอเมริกันฟุตบอลค่อนข้างจะรุนแรงและโอกาสบาดเจ็บมีทุกเมื่อ ในครั้งนี้เป็นเหตุการณ์ที่ยิ่งแย่กว่าบาดเจ็บทั่วไป
คนที่ทำ tackle ชื่อ Damar Hamlin ไม่ได้เป็นดาวเด่นโด่งดังอะไรมากมาย ไม่ได้เป็นคนเก่งสุดของฝ่ายใด แล้วก่อนเหตุการณ์เกิดขึ้นนอกจากคนที่ติดตามทีม Bills อย่างใกล้ชิด ผมรับรองว่าไม่มีใครรู้จัก Hamlin เท่าไร
หลังจาก Hamlin ได้ tackle ผู้เล่นฝ่าย Bengals แบบปกติทั่วไป ไม่มีอะไรที่รุนแรง ไม่มีอะไรที่แตกต่างไปกว่าการเล่นปกติของอเมริกันฟุตบอล ทาง Hamlin หลังจากลุกขึ้นยืน และไม่มีใครแตะหรือผลักเขาแม้แต่นิดเดียว อยู่ดีๆ เขาล้มฟุบลงไปเลย โดยที่ผู้เล่นทั้งสองทีมรีบตะโกนให้ทีมแพทย์ออกมาช่วยเหลือ Hamlin ทันทีที่เขาล้มฟุบลงไป
สิ่งที่เกิดขึ้นคือหัวใจของ Hamlin หยุดเต้นเฉียบพลัน (Cardiac Arrest) ขึ้นมา โดยที่ทีมแพทย์สามารถช่วยชีวิตเขาได้เบื้องต้น เพราะปั๊มหัวใจเขาและทำ CPR จึงสามารถพาออกซิเจนเข้าไปในร่างกายและยื้อชีวิตได้ระดับหนึ่ง ซึ่งช่วงหลังเกิดเหตุการณ์เป็นช่วงวิกฤต เป็นช่วงสำคัญในการช่วยชีวิตคนที่มีอาการหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลันได้ ณ เวลาที่ผมนั่งเขียนคอลัมน์นี้ (บ่ายวันพฤหัสฯ) ยังไม่มีข่าวคืบหน้าเรื่องอาการของ Hamlin เพราะต้องเฝ้าดูอาการถึงจะรู้ว่าฟื้นหรือไม่
ตอนที่เกิดเหตุการณ์ นอกจากผู้เล่นกับทีมแพทย์ไม่มีใครรู้ว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้นมันรุนแรงหรือร้ายแรงขนาดไหน คนนอกสนามคงเข้าใจว่าเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นเป็นการบาดเจ็บที่เกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ แต่ครั้งนี้อาจจะเป็นการบาดเจ็บที่เกี่ยวกับเอ็นที่ฉีก ขาที่พลิก หรือร้ายแรงสุดคือแขนขาหัก
คนชมคงคิดกันว่า เดี๋ยวแป๊บนึงทีมแพทย์จะเข็น Hamlin ออกจากสนามได้ และเกมสามารถเล่นต่อ เพราะส่วนใหญ่สัญญาณที่ผู้บาดเจ็บถูกเข็นออกจากสนามคือ การยกนิ้วโป้ง (ด้านเดียวหรือสองด้านก็ได้) เป็นอันเข้าใจกันว่า ถึงแม้คนคนนั้นจะเจ็บแค่ไหนก็ตาม ทุกอย่างจะโอเค และอีกนัยหนึ่งของคนชมคือ เราจะได้ไม่ต้องรู้สึกผิดที่อยากให้การแข่งขันไปต่อ การยกนิ้วโป้งเหมือนเป็นการบอกว่า “ไปต่อได้แล้วนะ…ไม่ต้องห่วงเรา”
อีกสัญญาณหนึ่ง เวลาผู้เล่น (ในกีฬาอะไรก็แล้วแต่) จะบาดเจ็บและต้องมีทีมแพทย์ออกมาช่วยเหลือนั้น จะต้องดูปฏิกิริยาของผู้เล่นคนอื่นๆ ถ้ายืนกันเฉยๆ มองไปกินน้ำไป ก็ถือว่าเหตุการณ์ไม่รุนแรง ถ้าทุกคนหยุดนิ่งล้อมผู้บาดเจ็บ แล้วในที่สุดนั่งคุกเข่าเพื่อภาวนา อันนั้นถือว่าเป็นเรื่องใหญ่และน่าเป็นห่วง
ในครั้งนี้ พอ Hamlin ฟุบลงไป ผู้เล่นคนอื่นๆ รีบวิ่งไปล้อม Hamlin ทั้งทีมแพทย์และโค้ชทั้งสองฝ่าย รีบออกไปดูเหตุการณ์ เพราะรู้ว่าครั้งนี้ไม่ปกติ จากตอนแรกคนชมในสนามเชียร์ไปเรื่อยๆ และรอเวลาที่การเล่นจะไปต่อ พอเขาเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นกลางสนาม ทั้งสนามที่เต็มไปด้วยคนกว่า 3 หมื่นคนนั้นเงียบสนิท รวมถึงคนพากย์ทางทีวีและวิทยุ
ที่ทำให้ทุกคนรู้ว่าเหตุการณ์ครั้งนี้ไม่ปกติ และสิ่งที่ทำให้ทุกคนเงียบสนิทนั้น คือ เห็นทีมแพทย์ต้องปั๊มหัวใจและทำ CPR ให้ Hamlin กลางสนาม
ในที่สุด ต้องเรียกรถพยาบาลมารับ Hamlin กลางสนามส่งโรงพยาบาล ในยามปกติเมื่อมีเหตุการณ์คนบาดเจ็บที่รุนแรงประเภทแขนขาหักอาจหยุดเล่นสักพักหนึ่ง ถึงแม้ผู้เล่นจะสะเทือนใจก็ตาม และมีน้ำตาไหลจากทั้งผู้บาดเจ็บและผู้เล่นด้วยกัน แต่การแข่งขันต้องเดินต่อ
แต่ในครั้งนี้ไม่มีใครสามารถเล่นต่อได้ จากตอนแรกทั้งสองทีมกลับเข้าไปที่ locker ของแต่ละฝ่ายเพื่อทำใจ แล้วเพื่อดูกันว่าจะทำอย่างไรต่อ แต่พอเวลาผ่านไปเรื่อยๆ มีการประกาศว่าการแข่งขันในครั้งนี้ไม่ได้ยกเลิก แต่ต้องเลื่อนออกไปก่อน เพราะมีทั้งคนชมผ่านโซเชียลมีเดียทางบ้าน ส่วนมากแสดงความโกรธต่อลีก NFL ถ้าเผื่อคิดจะเล่นเกมนี้ต่อไป มีอีกจำนวนหนึ่งแสดงความโกรธที่มีการหยุดพักการแข่งขัน เพราะ Hamlin ได้ไปโรงพยาบาลแล้ว และมีทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญดูแลเขาอยู่ ดังนั้นไม่น่าจะต้องทำให้การแข่งขันครั้งนี้ต้องพักชะลอต่อไป
อีกสิ่งหนึ่งที่ต้องเข้าใจ ว่าทำไมเหตุการณ์ของ Hamlin เป็นข่าวใหญ่ขนาดนี้ ไม่ใช่เพราะเหตุการณ์อย่างเดียว ถ้าลำพังเรื่องเหตุการณ์ถือเป็นเรื่องใหญ่ในตัวอยู่แล้ว แต่เพราะมันเกิดขึ้นในการแข่งขันคืนวันจันทร์ต่างหากที่ทำให้เป็นเรื่องยิ่งใหญ่ขึ้นอีก สิ่งที่ต้องเข้าใจคือ ไม่มีกีฬาอะไรสำหรับคนอเมริกันที่ยิ่งใหญ่เท่ากับอเมริกันฟุตบอล เรตติ้งในการแข่งขันแต่ละครั้งพุ่งสูงตลอดเวลาไม่ว่าจะเป็นคู่ไหนก็ตาม การถ่ายทอดสดส่วนใหญ่จะตรงกับวันอาทิตย์ ในช่วง 3 เวลา คือ 13.00 น.รอบหนึ่ง 16.00 น.รอบหนึ่ง และคู่สุดท้ายของวันอาทิตย์ 19.30 น.
คู่ที่เล่นคืนวันจันทร์มักจะเป็นคู่ที่เรียกเรตติ้งในสัปดาห์นั้น เพราะเป็นคู่สุดท้าย และเป็นคู่ที่ทาง NFL คาดว่าจะยิ่งใหญ่ที่สุด (ในรอบสัปดาห์นั้น) อย่าลืมว่าสมัยก่อนในยุคที่คนดูโทรทัศน์เป็นหลัก คนชมไม่มีทางเลือกมากมายเหมือนยุคนี้ ในยุคก่อนมีช่องโทรทัศน์ไม่กี่ช่อง ดังนั้นความบันเทิงของครอบครัวต้องผ่านจอโทรทัศน์เป็นหลัก
อเมริกันฟุตบอลทั้งเรียกเรตติ้ง ทั้งทำเงินมหาศาล จนไม่มีกีฬาอะไรอื่นๆ สามารถสู้ได้ เหตุการณ์ของ Hamlin เกิดขึ้นระหว่างคู่เด็ดของสัปดาห์นี้ แข่งในเวลา Prime Time ผ่านรายการ Monday Night Football ที่คนดูเป็นหลายสิบล้าน ไม่มีคู่อื่นเล่นแย่งสมาธิของผู้ชมที่ตั้งใจดูฟุตบอล จุดสนใจของผู้คลั่งไคล้อเมริกันฟุตบอลมุ่งที่คู่นี้ เลยทำให้เหตุการณ์ที่ ต้องเป็นข่าวใหญ่อยู่แล้วเป็นข่าวที่ยิ่งใหญ่กว่าเดิมและคนสนใจกว่าเดิม ทำให้เป็นข่าวใหญ่ระดับประเทศที่ทำให้อุตสาหกรรม NFL หยุดนิ่งได้ และไม่รู้จะไปทางไหนต่อ
ตอนนี้โลกของอเมริกันฟุตบอล (ณ เวลาเขียนคอลัมน์นี้อยู่) อยู่ในสถานการณ์สับสนและไม่ชัดเจน ตราบใดที่ Hamlin ยังต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ ยังไม่ฟื้น และยังไม่แน่ชัดว่าจะรอดหรือไม่ ทาง NFL ไม่สามารถเดินต่อได้ เพราะถ้าเขาประกาศว่าอาทิตย์นี้เล่นแบบปกติ ระหว่างที่ Hamlin ยังต่อสู้ชีวิตอยู่ ทาง NFL จะดูเลือดเย็นเกินไป แต่ในขณะเดียวกันโลกไม่ได้หยุดหมุน วันเวลาไม่หยุดนิ่ง แล้วชีวิตต้องเดินต่อไปอยู่ดี สำหรับสัปดาห์นี้ NFL จะไปทางไหนก็โดนด่า ถ้าเป็นภาษาอังกฤษจะเรียกว่า Damned if you do, damned if you don’t.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
President Biden….You’re a Good Dad
ในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมามีสารพัดเรื่องที่น่าสนใจและน่าเขียนถึง เรื่องแรกต้องเป็นเรื่องประกาศกฎอัยการศึกในเกาหลีใต้ เพราะเป็นเรื่องไม่มีวี่แววว่าจะเกิดขึ้น และถือว่าเป็นการประกาศฟ้าผ่าทีเดียว
คุยเรื่อง…ที่ไม่ใช่เรื่อง
เผลอแป๊บเดียว วันนี้เราเข้าเดือนสุดท้ายของปีแล้ว ถือว่าเราเข้าฤดูกาลซื้อของขวัญสำหรับคริสต์มาสและปีใหม่อย่างเป็นทางการ ถึงแม้ตามห้างต่างๆ
'ศาลอาญาระหว่างประเทศ….มีไว้ทำไม?'
เมื่อวันพฤหัสฯ ที่ผ่านมา ศาลอาญาระหว่างประเทศ (International Criminal Court หรือ ICC) ได้ออกหมายจับนายกรัฐมนตรีอิสราเอล Benjamin Netanyahu
'BRO!!!!!'
เกือบ 2 สัปดาห์กับผลการเลือกตั้งในสหรัฐ ที่สร้างความประหลาดใจให้กับคนทั่วไป เว้นบรรดานักวิเคราะห์แม่นๆ….หลังผลออกมา พวกนี้ยังพูดเต็มปากเต็มคำว่า
“ถ้าไม่เลือกเรา...เขามาแน่”...ทำให้เขาชนะขาดลอย
ผมไม่แน่ใจว่ากว่าแฟนคอลัมน์จะได้อ่านบทความนี้ เรื่องที่ผมจะเขียนนั้นมันแห้งเกินไปหรือเปล่า เพราะกว่าจะถึงวันที่ได้อ่านบทความนี้ เรื่องนี้อาจจะเก่าไปแล้วก็ได้
ผมจะไม่แปลกใจถ้าTrumpชนะ….แต่ผมจะแปลกใจถ้าHarrisแพ้
อีกไม่กี่วันข้างหน้าจะได้รู้กันว่าใครจะเป็นผู้นำ “The Free World” ระหว่างอดีตประธานาธิบดี กับอดีตรองประธานาธิบดี