คนไทยกับความท้าทายของปี 2566

ความท้าทายของเศรษฐกิจไทยปีหน้าคือการส่งออกที่หดตัวลงและภาวะเงินเฟ้อที่ยังอาจจะไม่ลดลงอย่างที่คาดหวัง

นักท่องเที่ยวต่างชาติอาจจะวิ่งไปที่ประมาณ 20 ล้านคน เปรียบเทียบกับปีนี้ที่ราวๆ  10 ล้านคน

ทั้งนี้ อยู่ที่ว่าการผ่อนคลายนโยบายโควิดของจีนที่เราเริ่มจะเห็นในสัปดาห์ที่ผ่านมาจะนำไปการเปิดทางให้นักท่องเที่ยวจีนออกนอกประเทศหรือไม่

แต่หลายวงการประเมินว่า นโยบายโควิดของจีนยังกำลังถูกทดสอบว่าเมื่อคลายล็อกแล้ว ตัวเลขคนติดเชื้อโควิดจะพุ่งสูงขึ้นหรือไม่

และหากการฉีดวัคซีนไม่สามารถเร่งขึ้นเป็นกรณีพิเศษ โดยเฉพาะในหมู่ผู้สูงอายุและเปราะบาง จะมีการปรับนโยบายกลับไปเข้มข้นอีกหรือไม่อย่างไร

นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่บอกให้รอหลังการประชุมประจำปีของสภาประชาชนในเดือนมีนาคมปีหน้า ซึ่งเป็นจังหวะที่สำคัญที่จะยืนยันนโยบายหลักๆ ของประเทศสำหรับปีใหม่

ดังนั้นความคาดหวังใดๆ เกี่ยวกับจำนวนนักท่องเที่ยวจีนที่จะมาประเทศไทยก็ยังมีเงื่อนไขที่จะต้องพิจารณากันอีกหลายปัจจัย

เอกชนไทยมองปีหน้าด้วยความหวัง...และความกังวล

คุณสนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการสภาหอการค้าไทย บอกหลังประชุมคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ประจำเดือนว่า

มีการประเมินว่า ปี 2565 เศรษฐกิจไทยจะขยายตัวได้ 3.2% และการส่งออกที่ 7.25% เงินเฟ้อคาดว่าอยู่ที่ 6.2%

ส่วนปี 2566 คาดว่าเศรษฐกิจไทยจะขยายตัวได้ 3.-3.5%

โดยมีปัจจัยสนับสนุนด้านการท่องเที่ยวและการบริโภคภาคเอกชนเป็นหลัก

แต่ที่น่าสังเกตคือ หากปีหน้าไทยเราโตในระดับนี้จะน้อยกว่าประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคอาเซียนอย่างมาเลเซีย, อินโดนีเซียและฟิลิปปินส์กับเวียดนาม

ที่น่ากังวลคือ การส่งออกในปีหน้า เพราะในบางภูมิภาคของเศรษฐกิจโลกอาจจะเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอย หรือ recession

เพราะยังไม่มีสัญญาณว่าสงครามยูเครนจะผ่อนเบาลงได้แต่อย่างใด

อีกทั้งตัวเลขการส่งออกของไทยในเดือนตุลาคมที่ผ่านมาติดลบ 4% เพราะตลาดโลกเริ่มจะชะลอตัว

กกร.จึงประมาณไว้ว่า การส่งออกปีหน้าของไทยจะโตในกรอบของ 1-2% เท่านั้น เพราะเศรษฐกิจโลกที่อ่อนแอลง

ส่วนอัตราเงินเฟ้อปีหน้า ผู้นำเอกชนคาดว่าจะอยู่ที่ 2.7-3.2%

กระทรวงพาณิชย์เพิ่งแถลงว่า เงินเฟ้อทั่วไปเดือนพฤศจิกายนของปีนี้ขยายตัว 5.55% ชะลอตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 3

ขณะที่ 'เงินเฟ้อพื้นฐาน' ยังเติบโตที่ 3.22% ตามการส่งผ่านต้นทุนพลังงาน

คุณพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไป หรืออัตราเงินเฟ้อทั่วไป (CPI) ในเดือน พ.ย.2565 เท่ากับ 107.92 ขยายตัว 5.55% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งเป็นการชะลอตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 3 ตามการชะลอตัวของราคาสินค้าในกลุ่มอาหาร โดยเฉพาะผักสด ผลไม้สด เนื้อสัตว์ และเครื่องประกอบอาหาร

ทั้งนี้ ในเดือนสิงหาคมปีนี้ อัตราเงินเฟ้อทั่วไปขยายตัว 7.86% ก่อนจะขยายตัวลดลงมาอยู่ที่ระดับ 6.41% ในเดือนกันยายน และขยายตัวที่ระดับ 5.98% ในเดือนตุลาคม

คุณพูนพงษ์บอกว่า เมื่อพิจารณาเป็นรายหมวดสินค้า พบว่าหมวดอาหารและเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ยังขยายตัวที่ระดับ 8.40% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน

แต่เป็นอัตราการขยายตัวที่ชะลอตัวลงจากเดือนก่อน (ต.ค.2565) ที่ขยายตัว 9.58%

ขณะที่หมวดอื่นๆ ที่ไม่ใช่อาหารและเครื่องดื่มยังขยายตัวที่ 3.59% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ตามการสูงขึ้นของสินค้ากลุ่มพลังงาน ทั้งน้ำมันเชื้อเพลิง ค่าไฟฟ้า และก๊าซหุงต้ม รวมทั้งค่าโดยสารสาธารณะ

สำหรับในช่วง 11 เดือนแรกของปีนี้ (ม.ค.-พ.ย.2565) อัตราเงินเฟ้อทั่วไป ขยายตัวเฉลี่ย 6.1% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน

ส่วนอัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน (Core CPI) ในเดือนพฤศจิกายน 2565 ขยายตัวที่ระดับ 3.22% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ตามต้นทุนการผลิตที่เกิดจากราคาพลังงานยังอยู่ในระดับสูง

ส่งผลให้ราคาขายปลีกสินค้าและบริการปรับเพิ่มขึ้น

ขณะที่การขยายตัวของอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานดังกล่าว เป็นอัตราการขยายตัวที่เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนหรือตุลาคม ซึ่งเงินเฟ้อพื้นฐานขยายตัวที่ 3.17% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน

ขณะที่อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานในช่วง 11 เดือนแรกของปีนี้ (ม.ค.-พ.ย.2565) ขยายตัว 2.44% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน

คุณพูนพงษ์พูดถึงแนวโน้มเงินเฟ้อเดือนธันวาคม.2565 ว่า น่าจะยังขยายตัวในระดับที่ใกล้เคียงกับเดือนที่ผ่านมา เนื่องจากราคาพลังงาน เช่น น้ำมันเชื้อเพลิง ค่าไฟฟ้า และก๊าซหุงต้ม และสินค้ากลุ่มอาหาร อาทิ เนื้อสัตว์ ไข่และผลิตภัณฑ์นม และอาหารสำเร็จรูป รวมทั้งค่าโดยสารสาธารณะยังสูงกว่าเดือนเดียวกันของปีก่อน ขณะที่อุปสงค์ในประเทศเริ่มปรับตัวดีขึ้น เป็นต้น

กระทรวงพาณิชย์ยังคงคาดการณ์อัตราเงินเฟ้อทั่วไปปี 2565 อยู่ที่ระหว่าง 5.5-6.5% โดยมีค่ากลางที่ 6%

ตัวเลขเหล่านี้บอกเราว่าปีหน้าจะเป็นปีที่ท้าทายสำหรับเศรษฐกิจไทยที่ต้องเผชิญกับความผันผวนในหลายๆ ด้าน

อีกทั้งปีใหม่นี้จะมีความไม่แน่นอนทางการเมือง เพราะประเทศเข้าสู่การเลือกตั้งทั่วไป

โดยที่พรรคการเมืองทั้งหลายได้นำเสนอนโยบายเศรษฐกิจที่นักวิเคราะห์เรียกว่า “ขายฝัน” เพราะต้องการจะเรียกความนิยมจากประชาชนผู้มีสิทธิ์เลือกตั้ง

มองในแง่บวกก็คือ การที่พรรคการเมืองทั้งหลายต้องตอบคำถามประชาชนว่าจะมีแนวทางการแก้ปัญหาปากท้องของประชาชนอย่างไร

มองในแง่ลบ คำมั่นสัญญาเรื่องค่าจ้างขั้นต่ำสำหรับคนทำงานและเงินเดือนสำหรับผู้จบปริญญาตรีที่มีการนำเสนอให้สูงขึ้นจากพรรคการเมืองต่างๆ อาจจะนำไปสู่ “ความคาดหวัง” ที่เกินเลยความเป็นจริง

อีกทั้งกลไกตลาดอาจจะดันราคาสินค้าให้สูงขึ้นไปรอรับคำมั่นสัญญาของพรรคการเมืองที่ให้กับประชาชนว่าจะมีรายได้เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ

โดยไม่มีคำตอบว่าพรรคการเมืองเหล่านี้หากเข้ามาเป็นรัฐบาลแล้วจะมีช่องทางหารายได้เพื่อตอบสนองนโยบายเหล่านั้นอย่างไร

ดังนั้นปีกระต่ายจึงเป็นปีที่ต้องพิสูจน์ว่าจะเป็น

กระต่ายตื่นตูม

กระต่ายหมายจันทร์

หรือกระต่ายวิ่งแข่งแพ้เต่า เพราะความประมาทและประเมินสถานการณ์ผิดพลาดหรือไม่.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ประเทศเดียวในโลก ‘นายกฯทับซ้อน’ มหันตภัยปี 2568

นายสุทธิชัย หยุ่น สื่อมวลชนอาวุโส โพสต์เฟซบุ๊กว่าสำนักวิจัยต่าง ๆ กำลังวิเคราะห์เพื่อพยากรณ์ว่าประเทศไทยจะต้องเผชิญกับความท้าทายสาหัสอะไรบ้างใน

บิ๊กเซอร์ไพรส์ 'สุทธิชัย หยุ่น' เล่นซีรีส์ 'The White Lotus ซีซั่น 3'

เรียกว่าสร้างความเซอร์ไพรส์อย่างต่อเนื่อง สำหรับซีรีส์ The White Lotus ซีซั่น 3 ซึ่งจะสตรีมผ่าน Max ในวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2025 เพราะนอกจากจะมี ลิซ่า-ลลิษา มโนบาล หรือ ลิซ่า BLACKPINK ไอดอลเกาหลีสัญชาติไทย ที่กระโดดลงมาชิมลางงานแสดงเป็นครั้งแรก ในบทของ มุก สาวพนักงานโรงแรม

ถามแสกหน้า 'ทักษิณ' จะพลิกเศรษฐกิจไทยยังไง ทุกซอกมุมในสังคมยังเต็มไปด้วยทุจริตโกงกิน

นายสุทธิชัย หยุ่น นักวิเคราะห์ข่าวและผู้ดำเนินรายการข่าวชื่อดัง โพสต์เฟซบุ๊ก ถึงกรณีนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ว่า “เขาจะพลิกประเทศไทยให้เศรษฐกิจล้ำโลกได้หรือ

เขตเศรษฐกิจพิเศษชายแดนที่กลายเป็น ที่ซ่องสุมของอาชญากรรมข้ามชาติ

เมื่อวานเขียนถึงรายงานในสำนักข่าวชายขอบที่สำนักจะได้รับความสนใจของรัฐบาลไทยว่าด้วยกิจกรรมอาชญากรรมข้ามชาติในบริเวณ “เขตเศรษฐกิจพิเศษ” ที่สามเหลี่ยมทองคำ