ผลพวงเล็ก ๆ จาก COP26: ‘ตลาดคาร์บอนระหว่างประเทศ’

หนึ่งในประเด็นที่มีความคืบหน้าในการประชุมต่อต้านโลกร้อน COP26 ที่เพิ่งจบลงคือการเปิด “ตลาดค้าคาร์บอนระหว่างประเทศ”

เรียกกันว่า International Carbon Markets

ผมเห็นว่าเป็นเรื่องใหม่ที่เริ่มเป็นรูปธรรมมากขึ้นอย่างน่าสนใจยิ่ง

นั่นแปลว่ารัฐบาลต่าง ๆ รวมไปถึงบริษัทเอกชนทั้งหลายสามารถแลกเปลี่ยนเครดิตการปล่อยคาร์บอนข้ามพรมแดนกันได้

ภาพใหญ่ของการประชุมสุดยอดด้านสภาพอากาศขององค์การสหประชาชาติโดยที่เมืองกลาวโกว์, สก๊อตแลนด์, สหราชอาณาจักรมีประเทศลงนามกว่า 190 ราย

ตกลงกันว่าปีหน้าจะกลับมาทบทวนแผนการลดการปล่อยมลพิษที่ทำให้อุณหภูมิโลกไม่เกิน 1.5 องศาเซลเซียส

รายละเอียดมีมากมายหลายประเด็น

บางคนบอกว่าแม้จะเป็นก้าวเล็ก ๆ เรื่องรับปากจะลดการใช้ถ่านหินและพลังงานฟอสซิล รวมไปถึงลดการทำลายป่า

แต่อีกบางคนที่คาดหวังมากกว่านั้นก็บอกว่าเนื้อหาที่ตกลงกันได้น้อยกว่าที่ควรจะเป็นมากมายนัก

ที่น่าติดตามสำหรับผมคือข้อตกลงการค้าคาร์บอนซึ่งกันและกันระหว่างประเทศและธุรกิจเอกชน

รัฐบาลจากเกือบทุกประเทศทั่วโลกรับรองกฎเกณฑ์เบื้องต้นเกี่ยวกับวิธีการที่รัฐบาลและบริษัทต่างๆ สามารถสร้าง ประเมินมูลค่า และแลกเปลี่ยนเครดิตเพื่อขับเคลื่อนการปล่อยมลพิษสุทธิในระบบการค้าระดับโลก

นักบริหารของบริษัทข้ามชาติอย่างคุณ Thomas Lingard ผู้อำนวยการด้านสภาพอากาศและสิ่งแวดล้อมโลกของ Unilever PLC บอกว่าเป็น “ข่าวดีอย่างไม่ต้องสงสัยที่ข้อตกลงได้บรรลุข้อตกลงกันเพื่อให้ทุกคนก้าวไปข้างหน้าได้”

การเจรจากันรอบนี้ทำให้ข้อตกลงการค้าคาร์บอนชัดเจนขึ้นกว่าที่เคยมีการพูดจากันมาก่อนหน้านี้หลายปี

เป้าหมายคือการสร้างเครดิตที่ได้รับการรับรองจากสหประชาชาติเพื่อนำไปสู่มาตรฐานที่ทุกประเทศยอมรับ

ประเทศไหนทำเรื่องลดคาร์บอนได้ดีก็จะมีคะแนนหรือ “carbon credit” ที่ขายให้กับประเทศอื่นได้

รัฐบาลที่ไม่สามารถปฏิบัติตามแผนการปล่อยมลพิษที่ส่งไปยังสหประชาชาติก็สามารถซื้อ “คะแนนคาร์บอน” ในตลาดเหล่านี้ได้

ข้อตกลงที่เป็นรูปธรรมมากขึ้นครั้งนี้คือการเขียนกฎกติกาที่จะช่วยในการกำหนดกรอบการทำงานสำหรับวิธีที่รัฐบาลสามารถใช้ภาคเอกชนเพื่อสนับสนุนให้บรรลุเป้าหมายด้านสภาพอากาศได้

ก่อนหน้านี้ไม่มีกรอบและกติกาที่ชัดเจนเท่าที่ควร จึงทำให้ “ตลาดคาร์บอน” ไม่เกิดอย่างจริงจัง

มาคราวนี้มีการร่างกรอบของตลาดคาร์บอนที่จับต้องได้ จึงเท่ากับเป็นการปล่อย “คลื่นลูกใหม่ของการลงทุน”

และบริษัทต่างๆ ก็สามารถใช้ประโยชน์จากเครื่องมือการซื้อขายระหว่างตลาดในโลกได้

ก่อนหน้านี้มีการถกแถลงกันตั้งแต่การลงนามในความตกลงปารีสโดยเฉพาะในมาตรา 6 ซึ่งลงนามในปี 2558

ที่โต้เถียงกันมาตลอดคือจะนับ “คะแนน” กันอย่างไรจึงจะไม่ซ้ำซ้อนและเป็นธรรมเพื่อให้เป็นมาตรฐานสากลเหมือน ๆ กัน

อธิบายง่าย ๆ ก็คือ “ตลาดคาร์บอน” เป็นมาตรการทางเศรษฐศาสตร์รูปแบบหนึ่งที่ใช้สร้างแรงจูงใจให้เกิดการลดก๊าซเรือนกระจก

 ตลาดคาร์บอน หมายถึง ตลาดที่มีซื้อขายคาร์บอน (Carbon Market) โดยกำหนดให้ “คาร์บอนเครดิต”

เครดิตหรือคะแนนในที่นี้หมายถึงปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่ลดลงได้จากการดำเนินโครงการลดก๊าซเรือนกระจก

หรืออีกนัยหนึ่งมันก็คือ “สิทธิในการปล่อยก๊าซเรือนกระจก” ซึ่งหมายถึงปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่สามารถลดได้ต่ำกว่าเป้าหมายลดก๊าซเรือนกระจกที่กำหนดให้องค์กรดำเนินการ ภายใต้ระบบซื้อขายสิทธิในการปล่อยก๊าซเรือนกระจก

มันคือสินค้าที่สามารถซื้อขายได้ และสามารถนำมาชดเชยการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของผู้ซื้อ

พรุ่งนี้มาคุยกันเรื่อง “ตลาดคาร์บอนเครดิตของไทย” ที่หลายคนอาจจะยังไม่รู้ว่ามีอยู่ในประเทศไทย.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ประเทศเดียวในโลก ‘นายกฯทับซ้อน’ มหันตภัยปี 2568

นายสุทธิชัย หยุ่น สื่อมวลชนอาวุโส โพสต์เฟซบุ๊กว่าสำนักวิจัยต่าง ๆ กำลังวิเคราะห์เพื่อพยากรณ์ว่าประเทศไทยจะต้องเผชิญกับความท้าทายสาหัสอะไรบ้างใน

บิ๊กเซอร์ไพรส์ 'สุทธิชัย หยุ่น' เล่นซีรีส์ 'The White Lotus ซีซั่น 3'

เรียกว่าสร้างความเซอร์ไพรส์อย่างต่อเนื่อง สำหรับซีรีส์ The White Lotus ซีซั่น 3 ซึ่งจะสตรีมผ่าน Max ในวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2025 เพราะนอกจากจะมี ลิซ่า-ลลิษา มโนบาล หรือ ลิซ่า BLACKPINK ไอดอลเกาหลีสัญชาติไทย ที่กระโดดลงมาชิมลางงานแสดงเป็นครั้งแรก ในบทของ มุก สาวพนักงานโรงแรม

ถามแสกหน้า 'ทักษิณ' จะพลิกเศรษฐกิจไทยยังไง ทุกซอกมุมในสังคมยังเต็มไปด้วยทุจริตโกงกิน

นายสุทธิชัย หยุ่น นักวิเคราะห์ข่าวและผู้ดำเนินรายการข่าวชื่อดัง โพสต์เฟซบุ๊ก ถึงกรณีนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ว่า “เขาจะพลิกประเทศไทยให้เศรษฐกิจล้ำโลกได้หรือ

เขตเศรษฐกิจพิเศษชายแดนที่กลายเป็น ที่ซ่องสุมของอาชญากรรมข้ามชาติ

เมื่อวานเขียนถึงรายงานในสำนักข่าวชายขอบที่สำนักจะได้รับความสนใจของรัฐบาลไทยว่าด้วยกิจกรรมอาชญากรรมข้ามชาติในบริเวณ “เขตเศรษฐกิจพิเศษ” ที่สามเหลี่ยมทองคำ