STRANGER DANGER

วันก่อนผมได้ยินลูกผมคุยกับแฟนผมเรื่องการฝึกซ้อมที่โรงเรียน ซึ่งผมนึกว่าเป็นการฝึกซ้อมหนีไฟหรือแผ่นดินไหว เพราะผมจำได้ตอนผมเด็กๆ เวลามีการฝึกซ้อมอะไรของโรงเรียน จะฝึกซ้อมอยู่สองเรื่องนี้

ผมจำได้เวลาจะฝึกซ้อมหนีไฟ เขาเน้นการเดินเร็ว แต่อย่าวิ่ง และควรเดินตามครูและเดินเป็นกลุ่ม ถ้ามีควันขึ้นมาเยอะควรจะให้ติดพื้นให้มากที่สุด ไม่งั้นจะหายใจไม่ออก

ส่วนเรื่องการฝึกซ้อมรับกับแผ่นดินไหว เขาให้อยู่ใต้โต๊ะถ้าเผื่อออกไปข้างนอกไม่ทัน

แต่ที่ลูกผมฝึกซ้อมไม่ได้เกี่ยวกับไฟไหม้หรือแผ่นดินไหว เป็นการฝึกซ้อมกรณีผู้ไม่หวังดีคิดมาทำร้ายร่างกายของทั้งเด็กทั้งครู หรือใครก็แล้วแต่ที่อยู่ในโรงเรียน เหมือนในกรณีจังหวัดหนองบัวลำภูครับ

ผมไม่ทราบรายละเอียดในการฝึกซ้อม หรือในการสอนให้นักเรียนต้องระมัดระวังมากน้อยเพียงใด และไม่ทราบว่าเขามีมาตรการอะไรให้เด็กๆ ยึดถือเมื่อเจอกรณีแบบนั้น แต่ผมชื่นชอบแล้วปรบมือดังๆ ให้กับทางโรงเรียน ที่ให้เด็กๆ ต้องรับรู้ว่าโลกใบนี้ไม่ได้สวยหรูเสมอ ผมเข้าใจว่าที่เขาสอนไม่ได้จำลองภาพให้คนถือปืนเข้าไปกราดยิง แต่เขามีตัวละครสร้างขึ้นมาชื่อ Mr.Green เป็นสัญลักษณ์คนแปลกหน้าหวังจะทำร้าย

ตอนผมเด็กๆ และจนถึงวันนี้ มีอยู่คำหนึ่งที่มักจะคู่กับการเตือนเด็กๆ ให้คำนึงถึงความปลอดภัยของตัวเอง นั่นคือคำว่า Stranger Danger คำนี้จะมีความหมายตรงตัว และไม่ต้องอธิบายอะไรมาก

Stranger Danger เป็นการเตือนให้เด็กๆ ระมัดระวังคนแปลกหน้า หรือคนที่เขาไม่รู้จัก ที่พยายามเข้ามาใกล้ชิด เผื่อคนคนนั้นหวังไม่ดี ซึ่งเด็กๆ ก็จำได้ เพราะคำว่า Stranger กับ Danger มันคล้องกัน แล้วทั้งสองคำมีความหมายที่ง่ายและเข้าใจได้ดี

Stranger Danger ปรากฏครั้งแรกๆ ในยุค 1960s ในสหรัฐอเมริกา แล้วครั้งแรกที่ใช้คำนี้จริงๆ จากหนังสือพิมพ์ The Austin Daily Herald (รัฐ Texas) เมื่อ ค.ศ.1963 และเป็นคำที่ใช้กันมาโดยตลอด สอนเด็กทุกรุ่นทุกสมัย แล้วถือว่าประสบความสำเร็จพอสมควร เพราะเด็กๆ ทุกคนเข้าใจความหมายดี

แต่บางคนเห็นว่าหลักของ Stranger Danger ไม่ได้ช่วยให้เด็กเข้าใจสถานการณ์ที่แท้จริง และไม่ได้ช่วยให้เด็กๆ เตรียมหรือป้องกันตัวได้ เพราะถ้าเน้นเรื่องคำว่า Stranger Danger จะทำให้เด็กๆ เข้าใจว่าคนแปลกหน้าทุกคนหวังทำร้าย มีคนไปตีความว่าการสอนแบบนี้จะทำให้เด็กๆ ระวังและระแวงทุกๆ คนในโลก

ส่วนอีกเหตุผลหนึ่งที่มีคนออกมาโจมตีหลักของ Stranger Danger คือส่วนใหญ่ ความรุนแรงหรือเหตุการณ์อันตรายที่เกิดต่อเด็ก ไม่ได้เกิดจากคนแปลกหน้าเท่านั้น แต่เกิดจากคนที่เด็กรู้จัก ดังนั้นถ้าจะสอนให้เด็กๆ ระวังคนแปลกหน้า ก็ต้องทั้งระวังและระแวงคนรู้จักเช่นเดียวกัน

อันนี้ก็จริง เวลาเห็นข่าวประเภทละเมิดหรือทำร้ายร่างกายของเด็ก เรามักจะเห็นผู้กระทำเป็นคนใกล้ชิดที่เด็กรู้จักดี (และสำคัญไปกว่านั้นคือ…ไว้ใจ) ไม่ว่าจะเป็นญาติ ไม่ว่าจะเป็นครู ไม่ว่าจะเป็นโค้ช หรือเพื่อนบ้าน เรามักจะเห็นข่าวแบบนี้มากกว่าผู้กระทำเป็นคนแปลกหน้าไปเลย (แต่ไม่ใช่ว่าไม่มีนะครับ)

ผมเข้าใจผู้ที่ออกมาตำหนิแนวการสอน Stranger Danger ว่ามันแคบจนเกินไป ไม่ได้ครอบคลุมตามสถานการณ์โลกที่แท้จริง ยกตัวอย่างง่ายๆ ครับ ที่โรงเรียนลูกผมเขาสอนประมาณว่า เมื่อ Mr.Green บุกเข้ามาในโรงเรียน ให้เด็กๆ ทุกคนหลบซ่อนกับคุณครูจนกว่าตำรวจมา สำหรับใครที่มองโลก Dark และเป็นคน Cynical ก็จะพูดทันทีว่า “ไว้ใจตำรวจไม่ได้เหมือนกัน” เพราะเหตุการณ์ที่หนองบัวลำภูเกิดจากตำรวจ และในขณะเดียวกัน เหตุการณ์ที่โคราชเมื่อหลายปีก่อน ที่มีการกราดยิงตามห้าง ก็คือคนในเครื่องแบบเช่นเดียวกัน

ถ้ามองแบบนั้นแล้วพูดแบบนั้นก็ไม่ผิดครับ แต่ถ้าเริ่มพูดและคิดแบบนั้น ไม่รู้จะตีกรอบอย่างไร และไม่รู้จะสอนลูกอย่างไร เพราะทุกอย่างถูกหมด ถ้าออกมาในทางนี้ก็ต้องสอนให้เด็กๆ ทั้งระวังและระวังทุกคนในโลก ทั้งคนแปลกหน้าและคนที่รู้จัก

เรื่องราวของ Stranger Danger ไม่ได้เป็นเรื่องที่คนอยากพูดถึงเท่าไรนัก ผมรู้ว่าผู้ปกครอง ที่โรงเรียนลูกบางคนไม่พอใจที่โรงเรียนเสนอเรื่องราวแบบนี้ เพราะเขาถือว่าเรื่องนี้ไม่เหมาะสม สำหรับเด็กชั้นอนุบาลและประถมต้นๆ ผู้ปกครองกลุ่มเหล่านี้กลัวว่าลูกๆ จะฝันร้าย เพราะทางโรงเรียนนำเสนอเรื่อง Dark เข้ามาในชีวิตของเขา

แต่ผมกลับคิดว่าเป็นเรื่องที่ดีด้วยซ้ำ ที่ให้เด็กๆ เริ่มเข้าใจว่าโลกของเราไม่ได้สวยหรูเสมอ ทางโรงเรียนไม่ได้เปิดหนังผี หนังสงคราม หรือหนังฆาตกร ให้เด็กๆ ดูเล่นๆ การทำให้เด็กๆ ต้องเรียนรู้โลกแห่งความจริง ก็ต้องให้เขาค่อยๆ เรียนรู้ตามขั้นตอนและตามจังหวะ

จากการสอนของโรงเรียน มันเปิดโอกาสให้ผมกับแฟนผมได้อธิบายเพิ่มเติมเกี่ยวกับโลกของเรา แล้วมันเป็นการสนทนาที่ต้องพูดเป็นระยะๆ แล้วค่อยๆ ขยายจนกว่าเขาเข้าใจ ผมเลยถือโอกาสตรงนี้ขอบคุณทางโรงเรียนที่ริเริ่มพูดในเรื่องที่หลายคนรู้สึกอึดอัด และบางคนอยากหลีกเลี่ยงด้วยซ้ำ ทางผมกับแฟนผมจะพูดกับลูกเมื่อมีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นอยู่ประจำอยู่แล้ว แต่ที่จะช่วยย้ำและซ้ำ คือการที่เขาเรียนพร้อมกับเพื่อนๆ ที่โรงเรียน

นี่ละครับ ความเป็นพ่อในยุคนี้ ความเป็นพ่อในยุคข้อมูลข่าวสารที่เด็กโตเร็วกว่าและไวกว่าเด็กยุคก่อนๆ อย่าไปเข้าใจผมผิด ผมไม่ใช่ผู้ปกครองประเภทให้ลูกโตเกินวัย หรือระแวงทุกสิ่งอย่าง แต่ในขณะเดียวกัน ผมไม่อยากให้เขาคิดว่าโลกใบนี้สวยเสมอ ผมปล่อยให้เขาวิ่งเล่นเต็มที่ของเขา และเมื่อเขาล้มให้เขาพยายามลุกขึ้นเอง ก่อนผมจะเข้าไปช่วย ทั้งๆ ที่ใจผมแตกสลาย และอยากวิ่งเข้าไปกอด อุ้ม และช่วยเขาลุกขึ้นทุกๆ ครั้ง

แต่ความเป็นพ่อในทุกยุคทุกสมัย คืออยากประเคนทุกอย่างในโลกให้ลูก อยากให้ชีวิตลูกสุขสบาย และไร้อุปสรรค แต่เรารู้ว่าถ้าเลี้ยงลูกแบบนั้น เขาจะทำอะไรเองไม่ได้ ดังนั้นทุกครั้งที่เราพูดว่า “ไม่ได้ลูก” มันสะเทือนใจทุกครั้ง ทุกครั้งที่ต้องปฏิเสธเขา มันต้องใช้แรงทั้งหมดที่เรามีถึงจะพูดออกจากปากได้ และคืนที่ต้องปฏิเสธลูกจะนอนยากนิดนึง ความเป็นพ่อคือต้องเข้มแข็งให้กับลูก ทั้งๆ ที่ข้างในเราใจอ่อนกับเขา

สำหรับวันพ่อและทุกๆ วัน ผมขอเคารพและคารวะผู้เป็นพ่อทุกคน และขอส่งกำลังใจให้กันซึ่งกันและกัน

ขอขอบคุณคุณพ่อผมเอง ที่เป็นตัวอย่างที่ดีให้ผมเป็นพ่อสำหรับลูกๆ ของผมครับ.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

President Biden….You’re a Good Dad

ในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมามีสารพัดเรื่องที่น่าสนใจและน่าเขียนถึง เรื่องแรกต้องเป็นเรื่องประกาศกฎอัยการศึกในเกาหลีใต้ เพราะเป็นเรื่องไม่มีวี่แววว่าจะเกิดขึ้น และถือว่าเป็นการประกาศฟ้าผ่าทีเดียว

คุยเรื่อง…ที่ไม่ใช่เรื่อง

เผลอแป๊บเดียว วันนี้เราเข้าเดือนสุดท้ายของปีแล้ว ถือว่าเราเข้าฤดูกาลซื้อของขวัญสำหรับคริสต์มาสและปีใหม่อย่างเป็นทางการ ถึงแม้ตามห้างต่างๆ

'BRO!!!!!'

เกือบ 2 สัปดาห์กับผลการเลือกตั้งในสหรัฐ ที่สร้างความประหลาดใจให้กับคนทั่วไป เว้นบรรดานักวิเคราะห์แม่นๆ….หลังผลออกมา พวกนี้ยังพูดเต็มปากเต็มคำว่า

“ถ้าไม่เลือกเรา...เขามาแน่”...ทำให้เขาชนะขาดลอย

ผมไม่แน่ใจว่ากว่าแฟนคอลัมน์จะได้อ่านบทความนี้ เรื่องที่ผมจะเขียนนั้นมันแห้งเกินไปหรือเปล่า เพราะกว่าจะถึงวันที่ได้อ่านบทความนี้ เรื่องนี้อาจจะเก่าไปแล้วก็ได้