เห็นจำนวนตัวเลข ผู้ติดเชื้อ โควิด-19 ของบ้านเรา...ตามคำแถลงของ ศบค. ในแต่ละวัน น่าจะค่อยๆ ลดลงไปตามลำดับ จากที่เคยพุ่งๆ ไปเป็นหมื่นๆ หลังๆ นี้น่าจะเหลืออยู่แค่ประมาณ 5 พัน 6 พัน หรือลดลงไปเกือบครึ่ง จริง-ไม่จริง...ตามนั้น หรือไม่ อย่างไร ก็แล้วแต่จะว่ากันไป แต่อย่างน้อย...ก็น่าจะพอช่วยให้เกิดความโล่งอก-โล่งใจอยู่พอสมควร...
-------------------------------------------
ส่วนตัวเลขผู้เดินทางเข้ามาท่องเที่ยว หรือมาทำอะไรต่อมิอะไรในประเทศไทย ถ้าว่ากันตามตัวเลขสถิติอีกนั่นแหละ เห็นว่าตั้งแต่ 1-14 พ.ย. หรือนับตั้งแต่ เปิดประเทศ มีผู้เดินทางเข้ามาตามท่าอากาศยานต่างๆ ไปแล้วประมาณ 50,074 ราย แต่สามารถตรวจพบการติดเชื้อเพียงแค่ 56 รายเท่านั้นเอง
หรือแค่ 0.11 เปอร์เซ็นต์ ถ้าพยายาม ทำใจ ให้เชื่อๆ บรรดาตัวเลขต่างๆ เหล่านี้เข้าไว้ ก็น่าจะเปลี่ยนจากหายใจทางเหงือก หันมาหายใจทางปาก กันได้มั่งแล้ว เพราะอะไรต่อมิอะไรนับจากนี้ มันน่าจะพอคลี่ๆ คลายๆ ลงไปได้บ้าง โดยเฉพาะเรื่องเงินๆ-ทองๆ เรื่อง รายได้ จากนักท่องเที่ยว ที่ถือเป็นรายได้หลักของไทยแลนด์ แดนสยาม คงไม่ถึงกับ กระเป๋าแบนแฟนทิ้ง มากมายเกินไปนัก...
--------------------------------------------------
แต่ก็นั่นแหละ...ถ้าหันไปมองตัวเลขจำนวนผู้ติดเชื้อในระดับโลก ที่ปาเข้าไปถึง 200 กว่าล้านคน หวิดๆ จะขึ้นถึง 300 ล้านคนในอีกไม่ใกล้-ไม่ไกล เด๊ดสะมอเร่ย์ อิน เดอะ เท่งทึง ไปแล้วถึง 5 ล้านเกือบ 6 ล้านคน พอๆ กับจำนวนคนตายในสงครามระดับโลกแต่ละครั้ง อะไรประมาณนั้น อันนี้...ก็อด อึ้ง-ทึ่ง-เสียว ขึ้นมาไม่ได้เหมือนกัน โดยเฉพาะตัวเลขจำนวนผู้ติดเชื้อในยุโรป ในอเมริกา อันเป็นประเทศที่บรรดานักท่องเที่ยวเริ่มทยอยหลั่งไหลเข้ามาในบ้านเรานับเป็นอันดับต้นๆ ในช่วงระหว่างนี้ เช่น แชมป์โรค อย่างคุณพ่ออเมริกา...เห็นว่ายังคงต้องติดเชื้อกันวันละ 7 หมื่น เกือบ 8 หมื่นคน ส่วนผู้ดีอังกฤษระดับ 3 หมื่นปลายๆ หรือเกือบ 4 หมื่นคน ขณะรัสเซียที่ชอบมาเพ่นพ่านอยู่แถวๆ พัทยาอย่างเป็นพิเศษ ก็ตามมาติดๆ คือติดเชื้อวันละไม่น้อยกว่า 38,000 คน เยอรมันอีก 30,000 กว่าคน...ฯลฯ...
---------------------------------------------------
คือโดยสรุปรวมความแล้ว...ท่านเชื้อไวรัสโควิด-19 ท่านก็ยังไม่ได้หายไปไหน ไม่ได้คิดจะหัวตก ไม่ได้คิดจะเหี่ยวปลาย ลงไปเลยแม้แต่น้อย ปริมาณการติดเชื้อ การตาย ก็ยังคงหนักหนา-สาหัสอยู่เช่นเดิม แม้ว่า ปริมาณการฉีดวัคซีน ของผู้คนในโลก จะเพิ่มขึ้นๆ ไปตามลำดับ แต่ก็อย่างว่า...ถ้าหากฉีดแค่เพียงเข็มแรก ไม่ตามด้วยเข็มสอง เข็มสาม หรือจะต้องถึงเข็มที่เท่าไหร่ก็ยังมิอาจสรุปได้ ชนิดอาจต้องพรุนทั้งแขนเอาเลยก็ไม่แน่ ระดับ ภูมิคุ้มกัน ภายในร่างกาย หรือแม้แต่สิ่งที่เรียกๆ ว่า ภูมิคุ้มกันหมู่ ก็เถอะ มันก็คงมิอาจปกป้อง คุ้มครอง การติดเชื้อ-แพร่เชื้อ กันได้มากมายซักเท่าไหร่นัก...
---------------------------------------------------
แต่ทำไงได้...ภายใต้ความเจ็บปวด รวดร้าว ของการ อดตาย ความอึดอัด ขัดข้องใจ อันเนื่องมาจากการถูกคุมเข้มเพื่อป้องกันการติดเชื้อ-แพร่เชื้อ ที่ปาเข้าไปเป็นปีๆ หวิดๆ จะสองปีเข้าไปแล้ว ไม่ว่าใครต่อใครก็เถอะ...ชักหนีไม่พ้นต้องเริ่มออกอาการ ตาย...เป็ง...ตาย ต้องหันมาผ่อนๆ คลายๆ ต้องหันมาเรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมกับท่านเชื้อโควิด ต้องหันมาเปิดๆ แง้มๆ เปิดบ้าน เปิดเมือง เปิดประเทศ ชนิดอ้าซ่า-ไม่อ้าซ่า ก็แล้วแต่ประสิทธิภาพ ประสิทธิผล แล้วแต่จิตสำนึก ของรัฐบาลและผู้คนในประเทศนั้นๆ ที่จะว่ากันไปตามสภาพ ตามมาตรฐานของใครก็ของมัน...
--------------------------------------------------
ดังนั้น...ระหว่างที่หันมาหายใจทางปาก ไม่ถึงกับต้องหายใจทางเหงือกอีกต่อไป หรือระหว่างที่พอได้ปลอดโปร่ง โล่งสบาย ขึ้นมาได้มั่ง ก็อย่าถึงกับต้องไปกระดี๊กระด๊าอะไรกันมากมาย เพราะแม้ว่าจำนวนตัวเลขผู้ติดเชื้อในบ้านเราทำท่าว่าจะลดๆ ลงไปบ้าง หรือจำนวนนักท่องเที่ยวที่พบการติดเชื้อมีอยู่แค่ 0.11 เปอร์เซ็นต์เท่านั้นเอง แต่ถ้าหากดันเผลอ ดันการ์ดตกขึ้นมาเมื่อไหร่ โอกาสที่จะหวนกลับไปสู่ความงอมๆ แงมๆ กันทั้งประเทศ ก็ใช่ว่าจะไม่มีเอาซะเลย อีกทั้งการหวนกลับไป คุมเข้ม ด้วยมาตรการต่างๆ ก็ใช่ว่าจะเป็นเรื่องง่าย เพราะผู้ที่เคยสัมผัส เสรีภาพ มาแล้วพอสมควร มันคงไม่ยอมให้ใครมายัดเยียด เผด็จการ กันได้ง่ายๆ การแข็งข้อ การขืน การฝืน มันจึงปรากฏให้เห็นในสังคมต่างๆ ชนิดเล่นเอาแต่ละรัฐบาลปวดเศียร เวียนเกล้า กันไปมิใช่น้อย...
---------------------------------------------------
ยกเว้นแต่ เมืองจีน ที่อยู่ภายใต้ เผด็จการคอมมิวนิสต์ เขานั่นแหละ...ที่โอกาสจะขืน จะฝืน หรือจะแข็งข้อใดๆ ก็แล้วแต่ แทบเป็นไปไม่ได้ การดำเนินมาตรการกำจัดเชื้อโควิดให้เหลือเท่ากับ ศูนย์ หรือให้เป็นประเทศปลอดเชื้อโควิด ชนิดแค่พบผู้ติดเชื้อแค่ไม่กี่คน ไม่กี่สิบรายเท่านั้นเอง แต่ถึงกับตัดสินใจปิดบ้าน ปิดเมือง ปิดมณฑล คุมเข้มผู้คนนับเป็นล้านๆ ระดับ 10 ล้าน 20 ล้านเอาเลยก็ยังมี จึงไม่ถึงกับก่อให้เกิดความปวดเศียร เวียนเกล้า อะไรมากมายเกินไปนัก ส่วนจะส่งผลให้ปลอดเชื้อโควิด เชื้อโควิดเหลือเท่ากับศูนย์ โดยไม่กระทบกระเทือนต่อตัวเลขการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ หรือไม่ อย่างไรนั้น อันนั้น...คงต้องไปติดตามกันอีกที แต่ก็นั่นแหละ...สิ่งที่อาจนำมาใช้เป็นบทเรียน เป็นอุทาหรณ์สอนใจ ได้บ้าง ก็น่าจะเป็นเรื่องของ ความเป็นเผด็จการ นั่นเอง ที่มันอาจไม่ถึงกับเป็นอะไรที่เลวร้าย น่าเกลียด น่ากลัว ไปทุกเรื่อง ทุกกรณี โดยเฉพาะถ้าหากรู้จักใช้ให้เป็น ใช้ให้เหมาะกับสถาน-กาลเวลา และจังหวะ ในแต่ละเรื่อง แต่ละระยะ...
-----------------------------------------------------
ปิดท้ายด้วยวาทะวันนี้ จาก Abraham Lincoln... “Let us have faith that right makes might, and in that faith let us dare to do our duty as we understand it. - ขอให้เราจงมีความเชื่อมั่น-ศรัทธาว่า...ความถูกต้องยุติธรรมคืออำนาจ และโดยความเชื่อมั่นเช่นนี้ ขอเราจงปฏิบัติหน้าที่ของเรา ไปตามที่เราเข้าใจ...”
---------------------------------------------------------
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
อย่าถึงกับต้องไปถือสาหาความ
ถือซะว่า...ท่านอาจ หาเสียง มาซะจนเคย!!! คือการประกาศจะสมัครเป็นผู้ว่าฯ กทม.มาก่อนล่วงหน้า 2 ปีเนี่ย ย่อมมิใช่น้อยๆ
ต้องเริ่มต้นด้วยการทำลาย 'ความเกลียด'
นับตั้งแต่คุณน้า ชัชชาติ บุรุษผู้กล้ามใหญ่ที่สุดในปฐพี ท่านแลนด์สไลด์ แอฝะล้านช์ หิมะถล่ม ดินทลาย ในการเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม.เที่ยวนี้
ว่ากันไปเรื่อยๆ!!!
เห็นว่า...ตั้งแต่สัปดาห์หน้า วันที่ 1 มิ.ย. บรรดา ขาเฮ และ ขาหื่น ทั้งหลาย
ว่าด้วย...ชัยชนะการเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม.
อืมม์ม์ม์...ต้องเรียกว่าทั้ง แลนด์ ทั้ง สไลด์ เอาเลยทีเดียวเจียว สำหรับการเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม.เที่ยวนี้
จาก กทม.ถึงความเป็นชาติ เป็นสังคมไทย
ขณะกำลังปั่นต้นฉบับชิ้นนี้...ก็ยังไม่มีโอกาสรับรู้ได้เลยว่า ตกลงใครเป็นหมู่ เป็นจ่า เป็นสารวัตรกันแน่!!!
ว่าด้วย...อนาคตของ “บิ๊กตู่”
หมู่นี้รู้สึกว่า...เสียงด่า เสียงทอ ท่านนายกฯ บิ๊กตู่ ของหมู่เฮา น่าจะซาๆ ไปพอสมควร จะด้วยเหตุเพราะใครต่อใครหันไปสนใจเรื่องอื่น