เยอรมนีขอให้จีนกดดัน รัสเซียยุติสงครามยูเครน

นายกฯ เยอรมนี Olaf Scholz ไปเยือนจีนเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ท่ามกลางเสียงวิพากษ์วิจารณ์จากเพื่อนทางตะวันตกว่าจะเป็นการ “เอาใจ” ปักกิ่งมากไปหรือเปล่า

แต่ผู้นำจากเบอร์ลินก็ยืนยันว่าเขากำลังทำหน้าที่แทนยุโรปในการมีปฏิสัมพันธ์กับผู้นำจีน

จึงเป็นที่มาที่เขาต้องออกข่าวอย่างเป็นทางการว่า ได้ขอให้ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง “กดดัน” ประธานาธิบดี

วลาดิมีร์ ปูติน ของรัสเซียหาทางยุติสงครามยูเครนเสียโดยเร็ว

นายกรัฐมนตรีเยอรมนีกล่าวว่า การเจรจาโดยตรงมีความสำคัญต่ออนาคตของสันติภาพโลก

และบอกกล่าวตั้งแต่ก่อนออกเดินทางว่า เมื่อได้เจอกับสี จิ้นผิง ก็จะไม่หลีกเลี่ยงที่จะพูดถึงประเด็นที่มีความเห็นต่างระหว่างสองประเทศ

นั่นคือต้องการบอกว่าไม่ได้ไปปักกิ่งเพื่อ “เอาใจ” จีน

แต่ต้องการจะยกเรื่องราวที่ต้องพูดจากันขึ้นมาพูดกันให้ชัดเจน

ด้วยเหตุนี้ ผู้นำเยอรมนีจึงเรียกร้องให้จีนใช้ “อิทธิพล” ของตนต่อรัสเซียเพื่อยุติสงครามในยูเครนระหว่างการแลกเปลี่ยนกับสี จิ้นผิง

นายชอลซ์กล่าวว่า ทั้งสองประเทศเห็นพ้องต้องกันว่าการคุกคามทางนิวเคลียร์ของรัสเซียนั้น “ไร้ความรับผิดชอบและเป็นอันตรายอย่างยิ่ง”

นั่นคือเนื้อหาที่รายงานนักข่าวเยอรมันอ้างว่าผู้นำทั้งสองได้กล่าวต่อกัน

ต้องไม่ลืมว่าผู้นำจีนยังไม่เคยออกมาประณามรัสเซียในเรื่องการส่งทหารบุกยูเครน

แต่สี จิ้นผิง ก็ไม่ได้เห็นพ้องกับปูตินในทุกรายละเอียดของสงคราม

ผู้นำจีนบอกกับนายกฯ เยอรมนีว่าประชาคมโลกควรสนับสนุนข้อเสนอเพื่อยุติวิกฤตการณ์อย่างสันติ และคัดค้านการใช้หรือคุกคามการใช้อาวุธนิวเคลียร์

แต่กระทรวงการต่างประเทศของจีนรายงานข้อสรุปของผู้นำทั้งสองโดยไม่ได้อ้างถึงประธานาธิบดีสีว่าใช้คำว่า "ไร้ความรับผิดชอบ" หรือ "อันตรายอย่างยิ่ง"

ชอลซ์กลายเป็นผู้นำตะวันตกคนแรกที่เดินทางไปปักกิ่งตั้งแต่เกิดโรคระบาดทั่วโลก

และเป็นผู้นำจากต่างประเทศคนแรก ๆ ที่ได้พบกับประธานาธิบดีสีนับตั้งแต่เขาได้ต่ออายุในฐานะเบอร์หนึ่งของพรรคคอมมิวนิสต์และรัฐบาลจีนเมื่อเดือนที่ผ่านมา

คนที่วิจารณ์เรื่องการไปเยือนจีนของนายกฯ เยอรมนีกลัวว่าการปรากฏตัวของเขาจะเป็นการ “ให้ความชอบธรรม” กับแนวทางกุมอำนาจเบ็ดเสร็จของสีในเมืองจีนหรือไม่

แต่นายกรัฐมนตรีเยอรมนีคนนี้ก็เช่นเดียวกับนางอังเกลา แมร์เคิล นายกรัฐมนตรีคนก่อนที่ให้เหตุผลว่าปัญหาระดับโลกสามารถแก้ไขได้โดยความร่วมมือกับจีนเท่านั้น

ชอลซ์อ้างว่าการพบปะกันเป็นการอำนวยความสะดวกในการแลกเปลี่ยนความเห็นในทุกเรื่อง

รวมถึงประเด็นที่ทั้งสองประเทศเห็นต่างกันอย่างมาก

สี จิ้นผิง บอกกับผู้นำเยอรมนีว่าทั้งสองประเทศต้องมีความปรารถนาที่จะทำงานร่วมกันใน "เวลาแห่งการเปลี่ยนแปลงและความวุ่นวาย"

ทั้งสองผู้นำมีข้อตกลงที่จะพูดคุยกันต่อไปว่าด้วยสงครามในยูเครน ความมั่นคงด้านอาหารและพลังงานของโลก การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และการระบาดใหญ่ทั่วโลก

ประเด็นไต้หวันคือเรื่องร้อนที่นายชอลซ์ย้ำจุดยืนของเยอรมนี

โดยบอกว่าการเปลี่ยนแปลงสถานะที่เป็นอยู่ใดๆ จะต้องเป็นไปอย่างสันติและด้วยข้อตกลงร่วมกัน

และด้านสิทธิมนุษยชนนั้นคนไต้หวันต้องได้รับการคุ้มครอง

และโดยเฉพาะอย่างยิ่งในส่วนที่เกี่ยวกับชนกลุ่มน้อยในซินเจียงด้วย

ก่อนขึ้นอำนาจ นายชอลซ์รับปากว่าจะใช้นโยบายต่างประเทศที่เน้นค่านิยมและการเปลี่ยนแปลงในแนวทางของเยอรมนีที่มีต่อจีน

โดยย้ำก่อนเดินทางไปปักกิ่งว่า “หากจีนเปลี่ยนทิศทาง แนวทางของเราที่มีต่อจีนก็ต้องเปลี่ยน”

แต่ก็ยังมีคนที่ไม่ไว้ใจเขาในเรื่องนั้น

ส่วนหนึ่งเป็นเพราะข้อเสนอล่าสุดและข้อขัดแย้งในการขายหุ้นในท่าเรือฮัมบูร์กให้กับบริษัทจีน

ในรัฐบาลก็มีรัฐมนตรีอย่างน้อยหกคนที่คัดค้านข้อตกลงนี้

ฝ่ายความมั่นคงก็เตือนให้มีความระมัดระวังช่องโหว่ในมาตรการรักษาความมั่นคงหากเปิดทางให้จีนเข้ามาถือหุ้นในท่าเรืออันสำคัญของเยอรมนี

แต่มีรายงานว่า นายชอลซ์ถูกกดดันบังคับให้เปิดไฟเขียวผ่านข้อตกลง

โดยปรับเปลี่ยนเงื่อนไขให้ลดขนาดและอิทธิพลของสัดส่วนการถือหุ้น

จึงเกิดความระแวงสงสัยว่าเขาเดินทางไปปักกิ่งเพื่อมอบ "ของขวัญ" ชิ้นนี้ให้จีนหรือไม่

เพราะในคณะของนายกฯ เยอรมนีนั้น มีคณะติดตามที่เป็นผู้บริหารจากบริษัทเยอรมัน เช่น BASF, Volkswagen และ Bayer ด้วย

การพึ่งพาซึ่งกันและกันของธุรกิจทั้งสองประเทศมีตัวอย่างให้เห็นกันชัดๆ

เช่นกรณีรถยนต์ยักษ์ใหญ่ Daimler ซึ่งจำหน่ายรถยนต์มากกว่าหนึ่งในสามในจีน ในช่วงครึ่งแรกของปีนี้

ธุรกิจของเยอรมนีลงทุนในประเทศจีนในปริมาณมากกว่าที่เคยเป็นมาด้วยซ้ำ

บริษัทเคมีภัณฑ์ BASF เพิ่งเปิดโรงงานแห่งใหม่ในจีนตอนใต้ และคาดว่าจะลงทุน 10 พันล้านยูโรภายในสิ้นทศวรรษนี้

และนายชอลซ์ต้องแสดงท่าทีที่รักษาสมดุลให้ได้

นั่นคือต้องปกป้องเศรษฐกิจของเยอรมนีโดยไม่เสี่ยงกับการกล่าวหาว่ายอม “อ่อนข้อ” ให้กับจีน

ทั้งหมดนี้กลายเป็นประเด็นร้อนของความสัมพันธ์ระหว่างยุโรปกับจีนในภาวะที่ความขัดแย้งระหว่างสองขั้วกำลังเข้าสู่โหมดของการต้องชิงดีชิงเด่นกันอย่างเด่นชัด

ส่วนที่นายกฯ เยอรมนีเรียกร้องให้สี จิ้นผิง “กดดัน” ปูตินให้ยุติสงครามยูเครนนั้น จะประสบผลสำเร็จเพียงใดหรือไม่เป็นเรื่องที่ไม่มีใครบอกได้

แต่อย่างไรเสีย สี จิ้นผิง ก็คงจะไม่รับปากรับคำเรื่องนี้แต่อย่างไร เพราะเป็นจุดยืนของจีนมาตลอดว่าจะไม่ก้าวก่ายเรื่องภายในของประเทศอื่น

อีกทั้งสีก็ต้องรักษาน้ำใจของปูตินด้วยการไม่ฟังตะวันตกกล่าวหาเพื่อนรักหน้าตาเฉย

สีคงไม่ต้องการให้ปูตินถามว่า “เยอรมนีพูดอย่างนี้กับคุณแล้ว คุณช่วยปกป้องผมหรือเปล่า?”

เพราะจะเป็นสภาวะที่กระอักกระอ่วนเกินกว่าที่จะคาดคิดได้แน่นอน

แต่ไหนแต่ไรมาก็มีหลายประเทศที่เรียกร้องให้จีนกดดันเกาหลีเหนือให้หยุดการพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์

แต่ถึงวันนี้ก็ยังไม่ปรากฏผลในทางปฏิบัติแต่อย่างใด

ยิ่งกับปูตินแล้ว สี จิ้นผิง ก็น่าจะเกรงใจมากกว่าคิม จองอึน ด้วยซ้ำไป.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ประเทศเดียวในโลก ‘นายกฯทับซ้อน’ มหันตภัยปี 2568

นายสุทธิชัย หยุ่น สื่อมวลชนอาวุโส โพสต์เฟซบุ๊กว่าสำนักวิจัยต่าง ๆ กำลังวิเคราะห์เพื่อพยากรณ์ว่าประเทศไทยจะต้องเผชิญกับความท้าทายสาหัสอะไรบ้างใน

บิ๊กเซอร์ไพรส์ 'สุทธิชัย หยุ่น' เล่นซีรีส์ 'The White Lotus ซีซั่น 3'

เรียกว่าสร้างความเซอร์ไพรส์อย่างต่อเนื่อง สำหรับซีรีส์ The White Lotus ซีซั่น 3 ซึ่งจะสตรีมผ่าน Max ในวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2025 เพราะนอกจากจะมี ลิซ่า-ลลิษา มโนบาล หรือ ลิซ่า BLACKPINK ไอดอลเกาหลีสัญชาติไทย ที่กระโดดลงมาชิมลางงานแสดงเป็นครั้งแรก ในบทของ มุก สาวพนักงานโรงแรม

ถามแสกหน้า 'ทักษิณ' จะพลิกเศรษฐกิจไทยยังไง ทุกซอกมุมในสังคมยังเต็มไปด้วยทุจริตโกงกิน

นายสุทธิชัย หยุ่น นักวิเคราะห์ข่าวและผู้ดำเนินรายการข่าวชื่อดัง โพสต์เฟซบุ๊ก ถึงกรณีนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ว่า “เขาจะพลิกประเทศไทยให้เศรษฐกิจล้ำโลกได้หรือ

เขตเศรษฐกิจพิเศษชายแดนที่กลายเป็น ที่ซ่องสุมของอาชญากรรมข้ามชาติ

เมื่อวานเขียนถึงรายงานในสำนักข่าวชายขอบที่สำนักจะได้รับความสนใจของรัฐบาลไทยว่าด้วยกิจกรรมอาชญากรรมข้ามชาติในบริเวณ “เขตเศรษฐกิจพิเศษ” ที่สามเหลี่ยมทองคำ