ดูเหมือนจะไม่มีช่วงไหนที่คนไทยสนใจ “ความหมายระหว่างบรรทัด” ของคนชื่อ Jerome Powell ประธานธนาคารกลาง หรือ Fed ของสหรัฐฯ เท่าทุกวันนี้
คนไทยที่ติดตามทิศทางดอกเบี้ย, เงินเฟ้อและโอกาสที่เศรษฐกิจสหรัฐฯ จะเข้าภาวะถดถอยยอมอดหลับอดนอนรอฟังคำแถลงสดๆ ของคุณเจโรม เพาเวลล์ หลังเที่ยงคืนเวลาบ้านเรามาหลายเดือนติดต่อกันแล้ว
ผมติดตามกูรูเศรษฐกิจของไทยในวันรุ่งขึ้นก็เหมือนได้รับบทสรุปของการแถลงของประธานเฟดได้อย่างรอบด้านทีเดียว
เช่น กระแสหนึ่งบอกว่า เมื่อฟังคุณเจโรมแล้วก็สรุปได้ว่า “ยังไม่จบ ดอกเบี้ยมะกันยังต้องขึ้นอีกมาก!”
นั่นคือข่าวร้าย
เพราะแกแถลงว่าเรื่องขึ้นดอกเบี้ยในอนาคตนั้นยังอยู่ในภาวะ
Some ways to go. More ground to cover.
จะเรียกว่า “วลีทอง” หรือ “ประโยคเขย่าขวัญ” ก็ได้
แต่ตลาดหุ้นและการเงินไม่ชอบ หรือแตกตื่นด้วยซ้ำไป
เพราะผลที่เกิดขึ้นทันทีคือตลาดหุ้นพากันตกระเนระนาดกันถ้วนหน้าในวันนั้น
เพราะก่อนหน้านี้ “ตลาด” คาดหวังว่าเฟดกำลังจะจบรอบการขึ้นดอกเบี้ย
เท่ากับตลาดคิดไปเอง เป็นการฝันเข้าข้างตัวเอง
เพราะเฟดไม่ได้คิดอย่างนั้นเลย
ตลาดหุ้นก็เหมือนรถไฟเหาะ ยิ่งขึ้นลงอย่างน่าหวาดเสียว
เพราะตอนแรกที่ตลาดคิดว่าเฟดกำลังจะชะลอการขึ้นดอกเบี้ย
ตลาดการเงินโลกต่างๆ ปรับดีขึ้น Dow Jones +400 จุด Nasdaq +100 จุด
แต่ครึ่งชั่วโมงผ่านไป หลังประธานเฟดเริ่มแถลงข่าว ดัชนีต่างๆ ก็กลับทิศกลับทาง
จากที่ดัชนี +400 จุด ไปปิดที่ -505 จุด
ขณะที่ Nasdaq ก็ลดลง มาใกล้จุดต่ำสุดของปีอีกรอบ
ดร.กอบศักดิ์ ภูตระกูล ที่ก็ร่วมเฝ้าติดตามข่าวตอนหลังเที่ยงคืนเหมือนกัน อุตส่าห์ฟังคุณเจโรมอย่างละเอียด
แกบอกว่าที่ฟังช่วงถามตอบ 45 นาที คิดว่ามีประเด็นใหญ่ๆ อย่างน้อย 7 ประเด็นที่ตลาดไม่ชอบ
เรื่องที่ 1 ท่านประธานเฟดบอกว่า เรื่องเฟดจะชะลอการขึ้นดอกเบี้ย และขึ้น +0.5% ในการประชุมครั้งหน้านั้น
ตอนนี้เริ่มใกล้ถึงจุดนั้นแล้ว แต่ว่าอาจจะเป็นไปได้ทั้งช่วงการประชุมครั้งหน้า หรือครั้งเดือนมกราคม
หมายความว่า ปีนี้อาจจะมี +0.75% อีกครั้ง ขึ้นอยู่กับข้อมูลที่ออกมา
เรื่องที่ 2 ดอกเบี้ยนโยบายของเฟด อาจจะขึ้นไปสูงกว่าที่เคยบอกไว้ใน Dot Plot เมื่อเดือนกันยายน
ที่เคยสื่อไว้ที่ 4.6% นั้น ล่าสุดจะมากกว่านั้น
ด้วยเหตุนี้ ตลาดจึงได้คาดการณ์ว่าดอกเบี้ยเฟดจะขึ้นไปแตะ 5.1% ในเดือนพฤษภาคมปีหน้า
สอดรับกับท่านประธานพูดหลายครั้งในการแถลงข่าวว่า
Some ways to go. More ground to cover.
การขึ้นดอกเบี้ยยังไม่จบ ยังอีกมาก
เรื่องที่ 3 เร็วเกินไปที่จะหยุด
Too premature to pause ที่คนชอบมาบอกกันว่า "เฟดใกล้จะหยุดขึ้นดอกเบี้ยแล้ว"
ท่านประธานเฟดมองว่า เร็วเกินไปที่จะหยุดตอนนี้
การจะหยุดขึ้นดอกเบี้ยนั้นมีเงื่อนไข
เงินเฟ้อต้องลดลงมาอย่างเห็นได้ชัดหลายๆ เดือนก่อน และเฟดต้องมั่นใจว่า เงินเฟ้อจะกลับมาที่ 2%
เรื่องที่ 4 ถ้าจะต้องผิด ท่านประธานเฟดขอผิดด้วยการ "มือหนัก" "จ่ายยาแรงไป"
การตัดสินใจของเฟดมีความเสี่ยง 2 ด้านเสมอ คือ
(1) เสี่ยงที่จะจ่ายยาแรงไป จนเศรษฐกิจฟุบ
(2) เสี่ยงที่จะจ่ายยาเบาไป เลิกเร็วไป ทำให้เงินเฟ้อฝังราก หรือกลับมาได้
ถ้าท่านต้องเลือก ท่านขอเลือกทางแรก ที่มือหนัก จ่ายยาแรงไป
เพราะทางนี้ ผลที่จะตามมาก็คือ จะเกิดเศรษฐกิจถดถอย แต่ท่านมั่นใจว่า ท่านสามารถกระตุ้นฟื้นเศรษฐกิจได้
ส่วนทางที่สองนั้น ถ้าพลาดเดินไปทางนั้น เฟดต้องไปตามแก้เงินเฟ้ออีกครั้ง และจะเสียหายยิ่งกว่านี้
เรื่องที่ 5 เงินเฟ้อดื้อกว่าคาด และตลาดแรงงานสหรัฐแข็งแกร่งกว่าคาด
ทั้งๆ ที่เฟดขึ้นดอกเบี้ยมามากแล้ว
แต่ตัวเลขคนว่างงานก็ยังต่ำสุดในรอบ 50 ปี
เงินเฟ้อก็ยังไม่ลงมา Core PCE ก็อยู่ที่ 5% ค่าจ้างก็ยัง Sideway ไม่ลดลง
หมายความว่า ดอกเบี้ยที่ขึ้นมายังสูงไม่พอ ยังต้องขึ้นอีก
เรื่องที่ 6 ที่เคยให้ความหวังว่าจะมี Soft landing หรือค่อยๆ ร่อนลงแตะพื้นอย่างนิ่มนวลนั้น
ตอนนี้ยากขึ้นมาก โอกาสน้อยลงมาก Recession รออยู่ข้างหน้า
เรื่องที่ 7 ที่หลายๆ คนถามถึง ผลกระทบจากขึ้นดอกเบี้ยของเฟดต่อเศรษฐกิจโลก และประเทศต่างๆ นั้น
เฟดดูอยู่
แต่การที่เฟดปราบเงินเฟ้อได้ จะเป็นเรื่องที่สำคัญสุด ดีสุดสำหรับโลก
ส่วนคนอื่นๆ ก็ต้องปรับตัวเอาเอง
เพราะถ้าเฟดเอาเงินเฟ้อไม่อยู่ ความเสียหายต่อโลกจะร้ายแรงกว่ามาก
“พอนักลงทุนโดนไป 7 เรื่อง ที่เคยแอบดีใจว่าตอนแรกว่าเฟดมาตามนัด ก็เลยกลับลำ กลายเป็นหนังคนละม้วน ตามที่เราเห็นกัน...” ดร.กอบศักดิ์บอก
ส่วนแบงก์ชาติไทยฟังแล้วก็บอกว่า เฟดขึ้นดอกเบี้ยตามคาด และเราก็ต้องติดตามค่าเงินบาทอย่างใกล้ชิด
คุณชญาวดี ชัยอนันต์ ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายองค์กรสัมพันธ์และโฆษกแบงก์ชาติ บอกว่า การตัดสินนโยบายล่าสุดของเฟด และการสื่อสารเกี่ยวกับแนวนโยบายในอนาคตเป็นไปตามที่หลายฝ่ายคาดไว้
โดยขณะนี้เฟดมุ่งมั่นที่จะดูแลเงินเฟ้ออย่างเต็มที่ก่อน เพื่อไม่ให้เกิดผลเสียต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ เองในระยะยาว
ทั้งนี้ หลังการประชุมอาจเห็นความผันผวนระยะสั้นในตลาดการเงินโลกและไทยบ้าง ซึ่งแบงก์ชาติได้ติดตามอย่างใกล้ชิด
ในส่วนของการดำเนินนโยบายของไทยในระยะต่อไป ก็ต้องพิจารณาให้เหมาะสมกับบริบทของไทยเช่นกัน ทั้งแนวโน้มเศรษฐกิจ เงินเฟ้อ และเสถียรภาพระบบการเงิน
โดยการดำเนินนโยบายจะมีความยืดหยุ่นในการปรับเปลี่ยนให้เหมาะสมกับสถานการณ์และให้ทันกาล ตามที่ กนง.ได้สื่อสารมาต่อเนื่อง
สำหรับการเคลื่อนไหวของค่าเงินบาท การตัดสินนโยบายของเฟดส่งผลให้เงินดอลลาร์ สรอ.แข็งค่าขึ้นเทียบกับทุกสกุล โดยในช่วงเช้าวันต่อมา ค่าเงินบาทเทียบดอลลาร์ สรอ.ปรับอ่อนค่าลง 0.8% และดัชนีค่าเงินบาท (เทียบสกุลภูมิภาค) ปรับอ่อนลง 0.34% ด้านเงินทุนเคลื่อนย้าย ยังไม่พบสัญญาณผิดปกติ
นับตั้งแต่ต้นปี จนถึงวันที่ 2 พฤศจิกายน 2565 เงินบาทเทียบดอลลาร์ สรอ.อ่อนค่าลง 11% โดยถือว่าอ่อนในระดับกลางๆ เทียบกับสกุลเงินในภูมิภาค
ส่งผลให้ดัชนีค่าเงินบาทอ่อนลงเพียง 0.7%
สำหรับนักลงทุนต่างชาติยังมีฐานะเป็นซื้อสุทธิในสินทรัพย์ไทยประมาณ 1.1 แสนล้านบาท (ซื้อสุทธิในตลาดหลักทรัพย์กว่า 1.6 แสนล้านบาท และขายสุทธิในตลาดพันธบัตรที่ 0.5 แสนล้านบาท)
ที่เล่าให้ฟังเพราะผมไม่ยอมอดหลับอดนอนเหมือนกูรูการเงินของไทยทั้งหลาย แต่พอตื่นเช้าขึ้นมาก็รีบตรวจข่าวทันที่ว่าที่ฝากท่านผู้รู้ของไทยเกาะติดคำแถลงของคุณเจโรมนั้นได้ผลอย่างไรบ้าง
ที่ฝากไปนั้นไม่ใช่เฉพาะตัวเลขของดอกเบี้ยที่เฟดประกาศขึ้นเท่านั้น
แต่ขอให้ช่วย “ผ่านระหว่างบรรทัด” กันให้ถี่ถ้วนด้วย
เพราะเนื้อแท้ๆ ฝังอยู่ระหว่างตัวอักษรและภาษากายของท่านประธานเฟด!.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
ถามแสกหน้า 'ทักษิณ' จะพลิกเศรษฐกิจไทยยังไง ทุกซอกมุมในสังคมยังเต็มไปด้วยทุจริตโกงกิน
นายสุทธิชัย หยุ่น นักวิเคราะห์ข่าวและผู้ดำเนินรายการข่าวชื่อดัง โพสต์เฟซบุ๊ก ถึงกรณีนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ว่า “เขาจะพลิกประเทศไทยให้เศรษฐกิจล้ำโลกได้หรือ
เขตเศรษฐกิจพิเศษชายแดนที่กลายเป็น ที่ซ่องสุมของอาชญากรรมข้ามชาติ
เมื่อวานเขียนถึงรายงานในสำนักข่าวชายขอบที่สำนักจะได้รับความสนใจของรัฐบาลไทยว่าด้วยกิจกรรมอาชญากรรมข้ามชาติในบริเวณ “เขตเศรษฐกิจพิเศษ” ที่สามเหลี่ยมทองคำ
แหล่งค้ามนุษย์ใน 3 เหลี่ยมทองคำ
เขตเศรษฐกิจพิเศษหรือ SEZ บริเวณสามเหลี่ยมทองคำที่โยงกับไทยนั้นกลายเป็นประเด็นเรื่องอาชญกรรมข้ามชาติที่สมควรจะได้รับความสนใจของรัฐบาลไทยอย่างจริงจัง
ไบเดนหรือทรัมป์? เอเชียน่าจะเลือกใครมากกว่า?
ผมค่อนข้างมั่นใจว่าการดีเบตระหว่างโจ ไบเดน กับโดนัลด์ ทรัมป์ วันนี้ (เวลาอเมริกา) จะไม่ให้ความสำคัญต่อเอเชียหรืออาเซียน
พรุ่งนี้ ลุ้นดีเบตรอบแรก โจ ไบเดนกับโดนัลด์ ทรัมป์
ผมลุ้นการโต้วาทีระหว่างโจ ไบเดน กับโดนัลด์ ทรัมป์ ที่จะมีขึ้นในวันพรุ่งนี้ (27 มิถุนายน) เพราะอยากรู้ว่า “ผู้เฒ่า” สองคนนี้จะมีความแหลมคมว่องไวในการแลกหมัดกันมากน้อยเพียงใด
เธอคือ ‘สหายร่วมรบ’ ผู้ร่วมก่อตั้งพรรค NLD คนสุดท้าย!
อองซาน ซูจีมีอายุ 79 ปีเมื่อวันที่ 19 มิถุนายนที่ผ่านมา...และยังถูกจำขังในฐานะจำเลยของกองทัพพม่าที่ก่อรัฐประหารเมื่อกว่า 3 ปีที่แล้ว