อนาคตสังคมไทยกับภาวะ'ฟ้าถล่ม-ดินทลาย'

    โลกยุคนี้...ต้องถือเป็น โลกของเด็ก นี่อาจเป็นข้อสรุปแบบทื่อๆ ดื้อๆ!!! ของผู้ที่อยู่ในวัยไม้ใกล้ฝั่งเต็มที อย่างเช่นอันตัวข้าพเจ้าเอง เป็นต้น แถมยังออกจะเป็นเด็กที่ไม่ถึงกับน่ารัก-น่าเอ็นดูมากมายซักเท่าไหร่ แต่ออกจะหนักไปทาง เด็กดื้อ หรือ เด็กซน อะไรประมาณนั้นซะมากกว่า...

    คือคงไม่ใช่แต่เฉพาะอายุ-อานามเท่านั้น เพราะบางราย หรือหลายราย อาจมีอายุปาเข้าไปถึงระดับหลัก 4 หลัก 5 หรือหลัก 6 หลัก 7 ไปแล้วก็ตามแต่ แต่โดยวัตรปฏิบัติ โดยพฤติกรรม

โดยสามัญสำนึก ดูยังไงๆ ก็แทบไม่ต่างไปจาก จิวแป๊ะทง หรือออกไปทาง เฒ่าทารก อย่างแทบไม่รู้ต้นสายปลายเหตุ หรือพร้อมจะ เถียง ใครต่อใครและอะไรต่อมิอะไรแบบชนิดคอเป็นเอ็น ทั้งที่ตัวเองแทบไม่ได้มีอะไรอยู่ในมือ อยู่ในหัวสมอง-มันสมอง ไม่ได้เป็น ผู้รู้-ผู้เชี่ยวชาญ ในด้านหนึ่ง-ด้านใดอย่างเป็นการเฉพาะ...

    ยิ่งโดยเฉพาะเมื่อมี พื้นที่ หรือมี สนาม ให้สามารถออกอาวุธได้โดยอิสระและเสรี มีเฟซบุ๊ก ทวิตเตอร์ มีไลน์โน่น ไลน์นี่ ฯลฯ การแสดงออกถึง ความเป็นเด็ก หรือความเป็นตัวตนของตน มันจึงทะลักหลั่งควั่งพรูกรูนรกและสวรรค์ ส่งผลให้สังคมแต่ละสังคม หนีไม่พ้นต้องปวดเศียร เวียนเกล้า ไปตามๆ กัน ด้วยเหตุเพราะข้อความ คำพูด คำจา ประเภทที่มักหนักไปทาง ผรุสวาทวาจา ทั้งหลาย ซึ่งก่อนๆ เคยเพียงแค่สิ่งที่ตกๆ หล่นๆ อยู่ตามผับ ตามบาร์ หลังวงเหล้า วงซุบซิบนินทา กลับถูกนำมาแพร่กระจาย ขยับขยาย ถูกนำมากดไลก์ กดแชร์ นับเป็นหมื่นๆ แสนๆ หรือเป็นล้านๆ เอาเลยก็ยังมี ดังนั้น...ไม่ว่าสังคมประชาธิปไตย-ไม่ประชาประชาธิปไตยก็เถอะ แต่ถ้าเลี่ยงไม่พ้นต้อง เปิดกว้าง ให้กับสิ่งเหล่านี้ โอกาสที่ผู้คนในสังคมนั้นๆ จะ ปวดหัวตายห่า หรือ ยุ่งตายโหง ยิ่งย่อมมีความเป็นไปได้ยิ่งขึ้นไปเท่านั้น...

    หรือไปๆ-มาๆ...มันเลยทำให้ ความดื้อ-ความซน แบบบรรดาเด็กๆ ทั้งหลาย สุดท้าย...ต้องกลายเป็นปัญหาแห่งชาติ เป็นวาระแห่งชาติไปจนได้!!! กลายเป็น เสียงส่วนใหญ่ ของพวกไม่รู้ประสีประสา ไร้เดียงสา พวกเบบี้ พวก ลิเบอร่าน ฯลฯ อะไรทำนองนั้น บรรดา ปัญหา แต่ละปัญหา ที่มีแต่ต้องอาศัยผู้รู้-ผู้เชี่ยวชาญ ในการรับมือ การแก้ไข เยียวยา เมื่อมีอันต้องเจอกับกระแสลิเบอร่าน ต้องเจอกับเสียงส่วนใหญ่ที่ไม่รู้เรื่อง-รู้ราวอะไรมาก่อนเลย ไม่มีพื้นฐาน ไม่มีประสบการณ์ ไม่เคยผ่านร้อน-ผ่านหนาวในแต่ละเรื่อง แต่ละกรณี เอาเลยแม้แต่น้อย แต่ละสิ่ง แต่ละอย่าง หรือแทบทุกสิ่งทุกอย่าง เลยหนีไม่พ้นต้องเละเป็นขี้ เละเป็นโจ๊ก เละเป็นเต้าหู้ตกโต๊ะ อย่างมิอาจปฏิเสธได้...

    อันนี้นี่แหละ...ที่ทำให้แม้แต่ สังคมประชาธิปไตย ชนิดสุดลิ่มทิ่มริดสีดวงทวารขนาดไหน? เพียงใด? ก็ตาม เลยมีอันต้องกลายเป็น ประชาธิป...ตาย กันไปเป็นแถบๆ ด้วยเหตุเพราะ ระดับความรับรู้ ของผู้คนส่วนใหญ่ นับวันมีแต่หนักไปทางสาละวันเตี้ยลง-เตี้ยลง ยิ่งเข้าไปทุกที ไม่ว่าในแง่ สติ-ปัญญา-ความมั่นคงทางอารมณ์ อย่างที่พวกนักวิทยาศาสตร์ระดับโลกเขาเคยทำการสำรวจ ค้นคว้าและวิจัย ชนิดลึกลงไปถึงเซลล์ ถึงดีเอ็นเอ แล้วนำมาเผยแพร่ให้เป็นที่รับรู้ รับทราบไปเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา หรือที่รู้จักกันในนามบทวิจัยว่าด้วยเรื่อง สติ-ปัญญาอันเปราะบางของเรา (Our Fragile Intellect) อันมีข้อมูล ข้อเท็จจริงทางวิทยาศาสตร์ ยืนยันไว้อย่างเป็นมั่น เป็นเหมาะ ว่านี่คือแนวโน้มความเป็นไปในอนาคตเบื้องหน้าของบรรดามวลมนุษยชาติ อย่างมิอาจหลีกเลี่ยงไปเป็นอื่น...

    ด้วยเหตุนี้...โดยข้อสรุปของบทวิจัยดังกล่าว จึงเลี่ยงไม่พ้นที่จะต้องชี้แนะ เสนอแนะ เอาไว้ประมาณว่า มีแต่ต้องอาศัยสิ่งที่เรียกว่า ศีลธรรม หรือสิ่งที่เคยถือเป็นความดี-ความงาม อันถูกแฝงฝังให้ติดตัวมากับมวลมนุษยชาติตั้งแต่อ้อน แต่ออก ไม่ว่าจะเรียกว่า ศีลธรรมตามธรรมชาติ หรือ ศีลธรรมทางศาสนา ก็ตาม เป็นเครื่องมือในการเผชิญหน้ากับแนวโน้มเช่นนี้ หรือถ้าพูดกันตามภาษาพระ ภาษาเจ้า อย่างอภิมหาพระ ท่านพุทธทาสภิกขุ ของหมู่เฮา ก็อาจต้องสรุปแบบง่ายๆ สั้นๆ ประมาณว่า หากศีลธรรมไม่กลับมา...โลกาจะวินาศ อะไรทำนองนั้น นั่นแล...

    ไม่เช่นนั้น...อะไรที่เคยถือเป็นความชั่ว ความเลวทราม ต่ำทราม อาจถูกแปรสภาพให้กลายไปเป็นความดี ความงาม ความถูกต้อง ฯลฯ เอาเลยก็ไม่แน่!!! เพราะถ้าหาก เสียงส่วนใหญ่ ดันเห็นไปในแนวนี้ขึ้นมาจริงๆ อันนั้นนั่นแหละ...ไม่ว่าสังคมประชาธิปไตย-ไม่ประชาธิปไตยทั้งหลาย ย่อมมีแต่ ฉิบหาย...กับ...ฉิบหาย อย่างมิอาจหลีกเลี่ยงไปเป็นอื่น แม้แต่ สังคมไทย ของหมู่เฮาก็เถอะ ต่อให้มีข้าว-ปลา-อาหารบริบูรณ์ อุดมสมบูรณ์ มีขนบธรรมเนียม ประเพณี วัฒนธรรม และค่านิยมทางสังคมที่ถูกปลูกฝัง ถูกสืบทอดจนกลายมาเป็นโครงสร้างอันแข็งแกร่งเพียงใดก็ตาม โอกาสที่ต้องเจอกับการ แลนด์สไลด์ การ แอฟวะลานช์ ชนิด ฟ้าถล่ม-ดินทลาย ก็ใช่ว่าจะไม่มีเอาเสียเลย!!!.

คือต้องคอยระแวดระวัง ต้องคอยหมั่นยกข้าว-ของต่างๆ ขึ้นไว้ในที่สูง ก่อนที่น้ำท่านจะทะลักหลั่งควั่งพรู ไหลเข้ามาท่วมขังในบ้านแต่ละบ้าน จนอาจต้องเปียกๆ แฉะๆ หรืออาจต้องตกน้ำป๋อมแป๋ม เอาง่ายๆ ไม่ว่าการกิน-การอยู่-การนอน ก็เลี่ยงไม่พ้นที่จะต้องย้ายจากชั้นล่าง ขึ้นมาบนชั้นสอง หรือชั้นที่สูงขึ้นๆ ตามสภาพ ยิ่งเป็นประเภท คนป่วย อย่างอันตัวข้าพเจ้าเองต้องตะเกียกตะกายถัดกระไดขึ้นมาเป็นชั้นๆ ก่อนที่จะกักตัวเองเอาไว้บนชั้นสอง ไปไหน-มาไหนแทบไม่ได้อีกต่อไปแล้ว เพราะเวลาถัดลง อาจหัวทิ่ม-หัวตำเอาง่ายๆ ระหว่างช่วงรอยต่อ หน้าน้ำ กับ หน้าหนาว จึงเป็นอะไรที่ออกจะยุ่งยากลำบาก เป็นอะไรที่เหน็ดเหนื่อย เมื่อยล้า อยู่พอสมควรเหมือนกัน...

แต่ก็นั่นแหละ...ความเป็นมา-เป็นไปของ ฤดูกาล ท่านก็เป็นของท่านอย่างนี้มานานแล้ว อาจจะวิปริต แปรผัน ไปบ้าง แต่ก็หนีไม่พ้นไปจากวงจร-วัฏจักรแห่งธรรมชาติ ที่ต้องหมุนเวียน-เปลี่ยนผันไปตามสภาพ มีหนาว มีร้อน มีแล้ง มีน้ำหลาก น้ำท่วม มีช่วงจังหวะใบไม้ผลิ ใบไม้ร่วง มีหิมะตก โดยเฉพาะแถบด้านเหนือๆ ของพวกฝรั่งเขา บรรดาวงจร-วัฏจักรเหล่านี้ต่างก็หมุนวนไป-วนมาเป็นรอบๆ ไม่ต่างไปจากวงจร-วัฏจักรของกลางวันและกลางคืน ที่มีทั้งมืด-ทั้งสว่าง สลับไป-สลับมากันโดยตลอด ไม่มีอะไรที่มืดมิดไปตลอดชั่วนิรันดร์กาล และไม่มีอะไรที่สว่างจ้า จนไม่เหลือความมืดติดปลายนวมเอาไว้เลย ส่งผลให้เกิดสภาพ ความเป็นไปตามธรรมชาติ ที่ไม่ต่างไปจากสภาพความเป็นจริง ความเป็นไปของมวลมนุษย์ทั้งหลายนั่นแหละทั่น!!! คือมีทั้งสุขๆ-ทุกข์ๆ ที่หมุนวนไป-วนมา หมุนเข้ามาในช่วงชีวิตไปเป็นห้วงๆ เป็นระยะๆ...

ด้วยเหตุนี้...จึงถือเป็นเรื่อง ไม่แปลก ที่ผู้คนนับตั้งแต่ยุคโบร่ำ-โบราณ ท่านจะมองความเป็นไปของสิ่งที่เรียกว่า กาลเวลา ในลักษณะไม่ได้ผิดแผก แตกต่าง ไปจาก ความเป็นไปตามธรรมชาติ คือมองเป็น วัฏจักร-วงจร ที่หมุนไป-หมุนมาเป็นรอบๆ มองเป็นวงกลม เป็นกงล้อ หรือเป็น หยิน เป็น หยาง ที่เคลื่อนไหวไป-มาภายในเส้นรอบวง ไม่ได้มองเป็น เส้นตรง เหมือนอย่างบรรดาพวกนักวิทยาศาสตร์ นักประวัติศาสตร์ฝรั่ง ที่พยายามแบ่งยุค-แบ่งสมัย แยกสัดส่วนของกาลเวลาออกไปเป็นท่อนๆ ดังนั้น...ไม่ว่าจะศาสนาพุทธ-คริสต์-อิสลาม-ฮินดู จนไปถึงศาสนาเชน หรือโซโรอัสเตอร์ ฯลฯ ก็แล้วแต่ เลยถึงต้องมีเรื่องราวของ มิคสัญญียุค กลียุค วันสิ้นโลก-สิ้นยุค ฯลฯ ติดปลายนวมเอาไว้เสมอๆ...

และถ้าหากมองถึงความเป็นไปของ กาลเวลา ในลักษณะที่ว่านี้...ก็ยิ่งไม่น่าแปลกใจ ไม่ถึงกับต้อง งุนงง-สงสัย อีกต่อไป ว่าเหตุใดแทบทุกสิ่ง-ทุกอย่างภายในโลกใบนี้ ณ ยุคนี้-สมัยนี้ มันถึงได้เสื่อมลงๆ ถึงได้มืดมนอนธกาลลงไปเรื่อยๆ ไม่ว่าจะเป็นคุณธรรม-ศีลธรรม สติ-ปัญญา-สัมปชัญญะ ตลอดไปจนความอดทน-อดกลั้น หรือ ขันติธรรม อันถือเป็นพื้นฐานของคุณธรรมในแต่ละระดับ หรือพูดง่ายๆ ว่า...ก็ด้วยเหตุเพราะความเป็นไปตามธรรมชาติของกาลเวลานั่นเอง ที่ย่อมต้องไหลไปในลักษณะนี้ หมุนวนไปในลักษณะเช่นนี้!!!

ดังนั้น...สำหรับใครก็ตาม ที่ไม่ปรารถนาและต้องการความมืด ไม่ชอบใจ-ไม่พึงพอใจในความเสื่อม มีแต่ต้องหาทาง ทำใจ ด้วยการอาศัยความ เข้าถึง-เข้าใจ ต่อสภาวะความเป็นไปตามธรรมชาติของกาลเวลานั่นแหละเป็นหลัก หรือไม่งั้นก็ต้องพยายามตะเกียกตะกาย ดิ้นรน พยายามถัดบันไดพาตัวเองขึ้นไปอยู่ในที่สูงๆ ให้ทันท่วงที ทันเวลา ไม่ว่าจะอยู่ในระหว่างเจ็บป่วย เจ็บไข้ ไปถึงขั้นไหน หรือไม่ว่าจะต้องอึดอัด-ขัดข้องใจ ไปไหน-มาไหนแทบไม่ได้ระหว่างอยู่บนชั้นสอง เพราะสุดท้าย...ด้วยความเป็นไปของวัน-เวลา ของฤดูกาลนั่นเอง โอกาสที่จะได้ ฮึ้มฮึม-ฮึ้มหึ่ม กับลมหนาวที่โชยเข้ามาด้วยความสดชื่น-รื่นเริง ก็คงอีกไม่ใกล้-ไม่ไกล ด้วยเหตุเพราะยิ่งมืดเท่าไหร่ ก็ยิ่งเท่ากับใกล้สว่าง ยิ่งขึ้นไปเท่านั้น...

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ไม่สนใจใครจะต่อว่า เสียงนกเสียงกา...ข้าไม่สนใจ

ถ้าหากเราจะบอกว่านายกรัฐมนตรีหญิงคนที่ 2 ของประเทศไทย เป็นนายกรัฐมนตรีที่มีเสียงตำหนิ มีการนำเอาการพูดและการกระทำที่ไม่ถูกไม่ต้อง ไม่เหมาะไม่ควร

จาก 'น้ำตา' ถึง 'รอยยิ้ม' พระราชินี

ตั้งแต่ต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา...ได้อ่านข่าวพระราชาและพระราชินีสเปน เสด็จฯ ทรงเยี่ยมเยียนผู้คนที่ประสบภัยน้ำท่วมในเมืองปอร์ตา แคว้นบาเลนเซีย

กลัวสมัครใจ 'ขาลอย'!

ไม่รู้ "ตั้งใจ" หรือ "บังเอิญ" การมอบนโยบายการบริหารราชการที่ ผบ.ต่าย-พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ แม่ทัพใหญ่สีกากี เรียกประชุมมอบนโยบายการบริหารราชการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ

ลัคนากันย์กับเค้าโครงชีวิตปี 2568

ยังอยู่ในช่วงเจ็ดปีของการทำตามความฝันและเปลี่ยนแปลงใหญ่ทางชีวิต ตลอดทั้งปีเจอเรื่องแสบ-เศร้าแทรกในชีวิตสองช่วง แต่ไม่เกินกำลังรับมือ แถมสู้กลับแล้วได้อะไรดีๆ

Nationalism Patriotism and Treason ชาตินิยม รักชาติ และขายชาติ

วันนี้ขอจั่วหัวด้วยภาษาอังกฤษ 3 คำที่มีความสำคัญกับประเทศไทยของเราเป็นอย่างมากในเวลานี้ แต่ก็ได้ให้คำแปลภาษาไทยไว้ด้วยแล้ว คำว่า Nationalism

อำลา-อาลัย...คุณพี่'โสภณ องค์การณ์'

ถึงจะห่างๆ ไม่ได้เจอะหน้าเจอะตากันมานับสิบๆ ปี...แต่การที่คุณพี่ โสภณ องค์การณ์ คอลัมนิสต์และนักจัดรายการทีวีของสำนักข่าว ผู้จัดการ