มหากาพย์ควบรวม 'ทรู-ดีแทค'

ลากยาวเป็นมหากาพย์แน่นอน สำหรับการควบรวมกิจการของ 2 บริษัทสื่อสารยักษ์ใหญ่อย่าง 'ทรู-ดีแทค' เนื่องจากเป็นดีลประวัติศาสตร์ และมีหลายฝ่ายจับตาเฝ้ามอง โดยเฉพาะประเด็นทางด้านการแข่งขันทางการค้า และราคาการให้บริการในอนาคต ซึ่งฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยมองว่า ดีลนี้ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์กับประชาชน แถมยังส่งผลเสียด้วยซ้ำ

เรื่องนี้ล้วนกดดันไปยังตัวคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ หรือ (กสทช.) ซึ่งเพิ่งมีมติรับทราบการควบรวมตามประกาศปี 2561 แบบไม่เป็นเอกฉันท์ และใช้มติที่ประชุมเสียงข้างมาก ว่าด้วยข้อบังคับการประชุม กสทช. พ.ศ.2555 โดยประธานออกเสียงเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งเสียงเป็นเสียงชี้ขาด

ดังนั้น มติรับทราบดังกล่าวถูกตั้งคำถามมากมายว่า เป็นการกระทำที่เอื้อไปยังกลุ่มทุนมากกว่าการคุ้มครองประชาชน

แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อที่ประชุมมีมติเห็นชอบออกมาแล้ว กระบวนการก็ต้องมีการเดินหน้า แต่ทั้งนี้เพื่อกู้ภาพลักษณ์ของ กสทช.ให้กลับมาในฐานะผู้ดูแลประชาชนแล้ว

ทาง กสทช.ก็จะต้องทำงานและวางเงื่อนไขอย่างเข้มงวด เพื่อลดข้อครหาที่สังคมตั้งขึ้น

ทั้งนี้ สิ่งที่ กสทช.ได้วางเงื่อนไข สรุปคร่าวๆ ดังนี้

1.ห้ามทั้งสองค่ายรวมแบรนด์เข้าด้วยกันเป็นระยะเวลา 3 ปี ซึ่งถือเป็นมาตรการที่คงทางเลือกของผู้บริโภคให้มีเวลาตัดสินใจ และทำให้ผู้บริโภคมีโอกาสเห็นผลกระทบของการควบรวมธุรกิจและมีข้อมูลในการตัดสินใจใช้บริการต่อไป

2.มาตรการการใช้โครงสร้างพื้นฐานร่วมกัน ที่กำหนดให้ทั้งสองค่ายเปิดให้ผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่แบบโครงข่ายเสมือน หรือ MVNO ได้เช่าใช้โครงข่ายโทรคมนาคมที่ทั้งสองมีอยู่ และต้องห้ามปฏิเสธการเช่าใช้บริการ รวมทั้งต้องจัดหน่วยธุรกิจเฉพาะเพื่อให้บริการ MVNO โดยตรง ซึ่งต้องให้บริการได้ทันทีหลังรวมธุรกิจ มาตรการนี้จะช่วยให้ผู้ประกอบการ MVNO รายเล็กในตลาดมีความสามารถในการแข่งขันมากขึ้น และเป็นทางเลือกมากขึ้นให้กับผู้บริโภค

3.มาตรการเรื่องเพดานราคา ที่กำหนดเพดานราคาของอัตราค่าบริการเฉลี่ย และการกำหนดราคาค่าบริการโดยใช้ราคาเฉลี่ยทางเศรษฐศาสตร์ พร้อมทั้งต้องส่งโครงสร้างราคาค่าเฉลี่ยให้ กสทช.รับทราบทุก 3 เดือน และบังคับรับผิดชอบค่าใช้จ่ายที่ปรึกษาที่ กสทช.จัดตั้งขึ้นเพื่อตรวจสอบเรื่องโครงสร้างต้นทุน

ทั้ง 3 ข้อถือว่าอยู่ในขอบข่ายในอำนาจที่ทาง กสทช.กำกับดูแลได้

ดังนั้น การควบรวมที่สุดท้ายจะเหลือเพียงแบรนด์เดียวนั้น จะไม่ได้เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วอย่างที่หลายฝ่ายกังวล อย่างไรซะ 3 ปีนี้ยังคงมีแบรนด์ทรูและดีแทคในตลาด แต่โครงสร้างราคาให้บริการจะเป็นอย่างไรและมีการแข่งขันกันจริงแค่ไหน ก็คงต้องฝากงานให้ กสทช.ต้องดูแล และทำหน้าที่คุ้มครองประชาชนผู้ใช้บริการต่อไป

โดยในมุมมองของ รศ.ดร.สุชาติ ไตรภพสกุล อาจารย์ประจำคณะการสร้างเจ้าของธุรกิจและการบริหารกิจการ มหาวิทยาลัยกรุงเทพ ที่แสดงความเห็นในกรณีนี้ก็ค่อนข้างชัดว่า มาตรการที่ กสทช.บังคับออกมานั้น เป็นมาตรการที่เข้มข้นและมีรายละเอียดที่ให้ความสำคัญกับผู้บริโภคมาเป็นอันดับหนึ่ง ในขณะที่น่าจะส่งผลกระทบกับผู้ประกอบการทั้งสองค่ายค่อนข้างมาก เพราะทำให้มีผลกับแผนการทำการตลาด การบริหารต้นทุน และเสียโอกาสในการนำจุดแข็งของทั้งสองค่ายมารวมกัน

ดังนั้น เชื่อว่าจากนี้คงจะเห็นทั้งทรูและดีแทคต้องพลิกตำราในการปรับกลยุทธ์กันยกใหญ่ทีเดียว ขณะที่ประชาชนในฐานะลูกค้าก็ต้องทำการศึกษาให้รอบคอบก่อนว่า ใช้บริการอย่างไรให้คุ้มค่ากับเงินที่้เสียไปมากที่สุด.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

เร่งเครื่องดึงนักท่องเที่ยว

จากสถานการณ์การท่องเที่ยวไทยในปัจจุบัน กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาได้ให้ข้อมูลพบว่า ประเทศไทยมีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติสะสมในช่วงเกือบ 7 เดือนเต็ม ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.-28 ก.ค.2567 ทั้งสิ้น 20,335,107 คน

ต้องเร่งแก้ปัญหาปากท้อง

หลังจากนายกรัฐมนตรีหญิง แพรทองธาร ชินวัตร รับตำแหน่งอย่างชัดเจน ทำให้ภาคเอกชนต่างก็ดีใจ เพราะไม่ทำให้ประเทศเป็นสุญญากาศในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ และสิ่งแรกที่ภาคเอกชนอย่าง

แนะเจาะใจผู้บริโภคด้วย‘ความยั่งยืน’

คงต้องยอมรับว่าประเด็นเรื่องสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืนได้รับความสนใจมากขึ้นทั้งจากผู้บริโภค ภาคเอกชน และภาครัฐ ส่งผลให้ผู้ประกอบการในภาคธุรกิจจำเป็นต้องมีการปรับตัว

รัฐบาลงัดทุกทางพยุงตลาดหุ้น

หลังจากปล่อยให้ตลาดหุ้นซึมมาอย่างช้านาน จนปัจจุบันอยู่ต่ำกว่า 1,300 จุด เรียกได้ว่าสำหรับนักลงทุนถือเป็นความเจ็บปวด เพราะดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมาไม่ได้ไปไหน

ดันอุตฯไทยไปอวกาศ

แน่นอนว่าในยุคที่โลกต้องก้าวหน้าไปสู่อุตสาหกรรมที่ทันสมัยมากขึ้น และต่อไปไม่ได้มองแค่ในประเทศหรือในโลกแล้ว แต่มองไปถึงนอกโลกเลยด้วยซ้ำ เพราะจะเป็นหนึ่งในกลไกในการพัฒนาอุตสาหกรรมภาคพื้นที่มีความแข็งแกร่งส่งผ่านไปยังอุตสาหกรรมอวกาศได้

แบงก์มอง ASEAN ยังมาเหนือ

ยังคงมีอีกหลายประเด็นที่ต้องจับตามองกันอย่างต่อเนื่อง ทั้งในสถานการณ์โลกและภายในประเทศ ที่จะส่งผลต่อเศรษฐกิจและการค้า โดยมุมมองของ อมรเทพ จาวะลา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสำนักวิจัย ธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย ระบุว่า