คำตอบ 'ผูกพันทุกองค์กร'

ผมว่านะ....

สังคมยังสับสนด้าน "กรอบปฏิบัติ" ตามคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญเมื่อ ๑๐ พ.ย.๖๔ กรณีล้มล้างการปกครองอยู่มาก

โดยเฉพาะตรงความว่า

"คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ถือว่าเป็นที่สุด และมีผลผูกพันกับทุกองค์กร"

ส่วนมากจะยึดตรงนี้ แล้วฟันธงฉับ ว่าเมื่อศาลวินิจฉัยเป็นการล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขแล้ว

ไม่เพียง อานนท์, ไมค์, รุ้ง แต่ทั้งขบวนการสามนิ้ว ทั้งทุกคนที่เกี่ยวข้องกับขบวนการสามนิ้ว กลุ่มจานมหา'ลัยชักใยเด็ก จะต้องถูก "เช็กบิล" ด้วย!

ก็เลย "ตื่นกลัว" กันยกใหญ่

โดยเฉพาะก้าวไกล "นายประกันขาประจำ" ด้วยเกรงจะถูกยุบพรรค ด้วยเงื่อนไข "คำวินิจฉัยผูกพันทุกองค์กร"

และจากตื่นกลัว.....

ก็เตลิดไปสู่ "ปฏิกิริยาต่อต้าน" โพสต์จ้วงจาบศาลฯ ต่างๆ นานาบ้าง พวกนักศึกษาออกแถลงการณ์ชนิดเวิ่นเว้อเพ้อพกบ้าง

สุดท้ายก็ใช้เท้าแทนสติ นัด "ลงถนน" เป็นปัญญาชนสามนิ้วแสดงพลังต่อต้านคำวินิจฉัยศาล!

และนี่ เข้าลักษณะ "องค์กรที่เกี่ยวข้อง" หรือเปล่าก็ไม่รู้นะ?        

"รศ.ดร.พวงทอง" ให้สัมภาษณ์รายการ The Politics ว่า

"คำตัดสินวันนี้ เป็นอุปสรรคใหญ่ของการเคลื่อนไหว เปิดช่องให้นักร้องยื่นยุบพรรค แต่อีกด้าน เยาวชนตื่นตัวยิ่งขึ้น ไม่หยุดพูดเรื่องนี้"

"การชุมนุมใหญ่จะกลับมา คนรุ่นใหม่พร้อมเสี่ยง"

แล้ว "รุ่นแตกลายงา" อย่างพวงทองล่ะ จะออกมานำเสี่ยงกับคนรุ่นใหม่ด้วยหรือเปล่า

หรือเก่งแค่ "ยุเด็ก" แล้วคอยเก็บเกี่ยวอยู่ข้างหลัง?

ก่อนที่จะเตลิดไปกันใหญ่ เพราะเข้าใจคำวินิจฉัยไปคนละทาง-สองทาง

ผมอยากให้อ่านที่อดีตตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ "ท่านอาจารย์จรัญ ภักดีธนากุล" ตอบคำถามนักศึกษา ที่ถามถึงความเห็นต่อคำพิพากษาของศาลรัฐธรรมนูญ กรณีล้มล้างการปกครอง เมื่อวาน (๑๒ พ.ย.๖๔)

ก็ทราบไว้นิด ตอนนี้ อาจารย์จรัญ ท่านเป็นผู้อำนวยการหลักสูตรนิติศาสตรมหาบัณฑิต มหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิต

ต่อไปนี้ เป็นความเห็นและการวิเคราะห์ของท่านจรัญ

ค่อยๆ อ่านแบบมีสติตาม.........

แล้วความสับสนในกรอบปฏิบัติตามคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญจะหมดไป

ที่คิดกันว่า เรื่องนี้ "ไม่จบ" ก็จะจบได้ด้วยความเข้าใจ!

อาจารย์จรัญ ให้ความกระจ่างกับนักศึกษา ดังนี้ครับ

......................

คำวินิจฉัยของศาลดังกล่าว

เชื่อว่าต้องการจะออกมาเตือน ป้องปรามว่า การกระทำของกลุ่มที่ออกมาเคลื่อนไหวไม่มีขอบเขต ผิดกฎหมายและมีความผิดระดับร้ายแรง

เพราะหากถือตามรัฐธรรมนูญมาตรา ๔๙ ถือว่าร้ายแรงมาก จึงเหมือนอยากจะให้ถอยกันให้หมด

"คำวินิจฉัยก็ชัดเจนว่ามีผลเฉพาะคนที่ทำผิดคือผู้ถูกร้องทั้ง ๓ คนเท่านั้น ไม่มีผลผูกพันคนอื่น"

แต่ยอมรับว่า อาจจะมีคนตกใจ โดยเฉพาะกลุ่มเครือข่ายที่เคยสนับสนุน

เพราะที่ผ่านมา คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญผูกพันทุกองค์กร

แต่ครั้งนี้ คำวินิจฉัยถูกแยกออกเป็นสองส่วน

คือ คำวินิจฉัยที่เป็นประเด็นโดยตรง (มีผลผูกพันกับทุกองค์กร)

และคำวินิจฉัย ที่การนำประเด็นต่างๆ มาขยายเหตุผลว่าศาลได้ผ่านกระบวนการความคิดประมวลมาต่างๆ จึงนำมาแสดง เหมือนชักแม่น้ำทั้งห้ามาให้ประชาชนได้ทราบ

เพราะศาลยึดหลักมาโดยตลอดว่า...........

"ศาลจะไม่ชี้แจงหลังการพิจารณา ดังนั้น เหตุผลที่เป็นองค์ประกอบจึงไม่มีผลผูกพัน"

"ก่อนหน้าที่ศาลรัฐธรรมนูญจะอ่านคำวินิจฉัย มีสื่อมวลชนมาสัมภาษณ์ เกี่ยวกับประเด็นการเสนอแก้ ม.๑๑๒ ซึ่งผมไม่เห็นด้วยที่จะยกเลิกและแก้ไข

และบังเอิญว่าสอดคล้องและเป็นไปในแนวทางเดียวกันกับศาลรัฐธรรมนูญ

ยอมรับว่า 'ถูกขู่' เช่นกัน แต่ขอบอกเลยว่า ไม่มีใครเค้ากลัวคำขู่หรอกครับ คนทำงานมาถึงขนาดนี้ พร้อมที่จะตายได้ทุกวัน เพราะตอนนี้ อยู่ก็ถือเป็นกำไร

แต่คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ คือของจริง

ไม่ใช่คำขู่           

ผมขอวิเคราะห์คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญในครั้งนี้ว่า  'ต้องการปราม เพราะไม่ต้องการให้ลุกลามไปมากกว่านี้'

เพราะถ้าคุณไม่พอใจรัฐบาล คุณก็โค่นล้มรัฐบาลไป ไม่ควรต้องมาเกี่ยวข้องกับประมุขของชาติ

ดังนั้น ขออย่าตกใจ

และขอให้มั่นใจว่า คนในวงการตุลาการจะไม่บ้าจี้ให้เกิดความรุนแรงทางใดทางหนึ่ง

และมั่นใจว่า เมื่อคำตัดสินออกมาแบบนี้ เหตุการณ์จะสงบขึ้น”

--------------------

เป็นไงครับ........

อ่านที่อดีตตุลาการศาลรัฐธรรมนูญอธิบายประหนึ่งพลิกจานที่คว่ำให้หงายอย่างนี้แล้ว กระจ่างในกรอบปฏิบัติตามคำวินิจฉัยศาลกันแล้วใช่ไหม?

ประเด็นหลัก คือ

-คำวินิจฉัยมีผลเฉพาะคนทำผิด คือผู้ถูกร้องทั้ง ๓  (อานนท์-ไมค์-รุ้ง) เท่านั้น ไม่มีผลผูกพันถึงคนอื่น

-ที่ว่า "ผูกพันกับทุกองค์กร"

หมายถึงคำวินิจฉัยนี้ มีผลผูกพันกับทุกองค์กร เฉพาะ ๓  คนนี้ เท่านั้น

-เพราะครั้งนี้ คำวินิจฉัย "แยกเป็นสองส่วน"

ส่วนแรก คือคำวินิจฉัยที่เป็นประเด็นโดยตรงกับ ๓ คนนั้น ซึ่งมีผลผูกพันกับทุกองค์กร

-ส่วนที่สอง ประเด็นต่างๆ ที่ศาลนำมาขยายเหตุผล เป็นเพียง "องค์ประกอบ" เท่านั้น ไม่มีผลผูกพันคนอื่น

-คำวินิจฉัยนี้ เจตนาของศาล ต้องการปราม เพราะไม่ต้องการให้ลุกลามไปมากกว่านี้

ก็กระจ่างแจ้งเป็นทางเดียวกันแล้วละกระมัง ถ้ากลับไปอ่านคำวินิจฉัย จะเห็นว่า ในทุกประเด็นโดยตรง ศาลท่านจะระบุชัดไปเลยว่า "ผู้ถูกร้องทั้ง ๓"

คนอื่นๆ ไม่เกี่ยว ไม่มีผลผูกพัน

ไม่มีการนำไป "เช็กบิล" ชนิดปูพรม ไปถึงพวกจานหลังม็อบ หรือนำไปเป็นเหตุยุบพรรค-ยุบ ส.ส.อย่างที่ "กินปูนร้อนท้อง" กัน

ถ้าจะมี นั่นก็ด้วยเหตุอื่น ไม่ใช่เหตุจากอานนท์-ไมค์-รุ้ง ขึ้นเวทีธรรมศาสตร์ เมื่อ ๑๐ สิงหา

กลับไปดูคำวินิจฉัย ตอนท้าย จะเห็นที่ศาลสรุปว่า

"เหตุดังกล่าว จึงวินิจฉัยว่า

การกระทำของผู้ถูกร้องทั้ง ๓ เป็นการใช้สิทธิเสรีภาพล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขตามมาตรา ๔๙

และสั่งการให้ผู้ถูกร้องทั้ง ๓ รวมทั้งองค์กรเครือข่ายเลิกกระทำการดังกล่าวที่จะเกิดขึ้นต่อไปในอนาคตด้วยตามมาตรา ๔๙ วรรคสอง"

ก็ชัดเจน....
คือศาลระบุว่าการกระทำของ "ผู้ถูกร้องทั้ง ๓" เป็นการใช้สิทธิเสรีภาพล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข

ก็ ๓ คนนี้เท่านั้น ที่ใช้เสรีภาพล้มล้างตามคำวินิจฉัยศาล และมีผลผูกพันกับทุกองค์กร

รัฐธรรมนูญ มาตรา ๔๙ วรรคสอง ระบุว่า "ให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยสั่งการให้เลิกการกระทำดังกล่าวได้"

ศาลจึงสั่งการว่า....

"ให้ผู้ถูกร้องทั้ง ๓ รวมทั้งองค์กรเครือข่ายเลิกกระทำการดังกล่าวที่จะเกิดขึ้นต่อไปในอนาคตด้วย"

ก็ชัดในตัว คือนอกจาก ๓ คน ที่ศาลให้เลิกกระทำการดังกล่าว

ศาลยังเตือนสติไปถึง "องค์กรเครือข่าย" ให้เลิกกระทำด้วย บ่งถึงเจตนาของศาล ต้องการปราม ไม่ต้องการให้ลุกลามไปมากกว่านี้ ซึ่งเป็นกุศลเจตนาโดยแท้

แต่ก็ยังมีนักกฎหมายโจรทำเป็นโง่ตาใส เล่นลิ้นว่า ศาลสั่งเกินบ้าง ไม่เคลียร์บ้าง องค์กรที่เกี่ยวข้องคือใคร ไม่เข้าใจ  ครอบคลุมไปถึงชาติหน้าเลยหรือไง?

ผมตอบให้เองก็แล้วกัน.......

"พวกมึงที่สมคบนอกชาติมาล้มสถาบัน โดยใช้เด็กเป็นเครื่องมือนั่นแหละ องค์กรเครือข่าย"

ถ้ายังไม่เข้าใจ ในอนาคตอันใกล้ สันดานไม่เปลี่ยน

มึงจะได้ "ฉลาดตากลับ" ละทีนี้!

วันเสาร์ที่ปลายซอย

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

'Grab rider ต้วง'

ดู "นาฬิกากรรม" แล้ว ก็อยากบอกว่า.... ช่วงนี้ ใครมีธุระอะไร ก็ไปทำซะให้เสร็จ ยังพอมีเวลา