คนทั้งโลกจับตาดูความเคลื่อนไหวทางการเมืองของจีนตั้งแต่วันอาทิตย์ที่ 16 ตุลาคมนี้เป็นต้นไป
จะมีการประชุมสมัชชาของพรรคคอมมิวนิสต์จีนที่จะมีผลที่สำคัญยิ่งสำหรับอนาคตของจีนและโลก
นั่นคือการต่ออายุตำแหน่งของสี จิ้นผิง อีก 5 ปี เป็นสมัยที่ 3
และเราจะได้เห็นตัวตนของผู้นำจีน 7 คนชุดใหม่ที่มีอำนาจสูงสุดของประเทศ
อีกคำถามหนึ่งก็คือ ใครจะมาเป็นนายกรัฐมนตรีแทน หลี่ เค่อเฉียง
7 อรหันต์ของพรรคคอมมิวนิสต์จีนจะเปลี่ยนหน้าตาไปอย่างไร...สัปดาห์หน้ารู้กัน
ในภาวะที่เศรษฐกิจจีนกำลังเจอกับความท้าทายรอบๆ ด้าน และในภาวะความผันผวนของเศรษฐกิจโลก
คนไทยจำนวนหนึ่งเชื่อว่า หลังการประชุมสำคัญครั้งนี้แล้ว รัฐบาลจีนอาจจะผ่อนปรนนโยบาย “โควิดต้องเป็นศูนย์”
ซึ่งอาจจะเปิดทางให้นักท่องเที่ยวจีนออกนอกประเทศ...และประเทศไทยน่าจะได้ประโยชน์จากแนวโน้มเช่นนี้
วาระสำคัญที่สุดน่าจะเป็นการคัดเลือก “คณะกรรมการกรมการเมืองของพรรคคอมมิวนิสต์จีน (Politburo Standing Committee)”
อันหมายถึง “ทายาททางการเมือง” ของ สี จิ้นผิง จะเป็นใคร และจะมีทิศทางทางการเมืองและเศรษฐกิจอย่างไร
สิ่งที่จะเกิดขึ้นในการประชุมสมัชชาครั้งที่ 20 ที่น่าสนใจคือ สมาชิกสภาแห่งชาติจีน 2,300 คน จะรวมตัวกันที่หอประชุมใหญ่แห่งประชาชน หรือ Great Hall of the People ที่จัตุรัสเทียนอันเหมิน
เพื่อคัดเลือกสมาชิก 200 คน เป็น สมาชิกคณะกรรมการกลาง พร้อมด้วยสมาชิกสำรองอีก 170 คน
สมาชิกคณะกรรมการกลางเลือก 25 คน เพื่อดำรงตำแหน่งสมาชิกกรรมการกรมการเมืองของพรรคคอมมิวนิสต์ (Politburo)
สมาชิกคณะกรรมการกรมการเมืองของพรรคคอมมิวนิสต์ เลือกคณะกรรมการกรมการเมือง (Politburo Standing Committee) หรือ “7 อรหันต์” ของจีน
จากนั้นคณะกรรมการกรมการเมืองจะเลือก “เลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์จีน”
วันนี้คณะกรรมการกรมการเมือง 7 คน ที่มี สี จิ้นผิง นั่งหัวโต๊ะ ที่บอกว่า สี จิ้นผิง คือ “เบอร์หนึ่ง” ของประเทศจีน นั่นก็เพราะเขานั่งควบ 3 ตำแหน่งคนเดียว นั่นคือ
1.เลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์ ซึ่งถือว่าเป็นผู้นำพรรค
2.ประธานาธิบดี ผู้นำของรัฐบาลจีน
3.ประธานคณะกรรมาธิการการทหารส่วนกลาง ถือว่าเป็นผู้บัญชาการสูงสุดของกองทัพจีนที่ยังเรียกเป็นภาษาทางการว่า “กองทัพปลดแอกแห่งชาติ” หรือ People’s Liberation Army (PLA)
ที่นักวิเคราะห์จับตาเป็นพิเศษอีกด้านหนึ่งคือ จะมีการเพิ่มการเรียกขาน สี จิ้นผิง เป็น “ท่านประธาน” หรือ “ผู้นำสูงสุด” ด้วยหรือไม่
เพราะตำแหน่ง “ประธานพรรค” นั้นใช้เฉพาะสำหรับ เหมา เจ๋อตง เท่านั้น
พอมาถึงยุคของ เติ้ง เสี่ยวผิง ตำแหน่งนี้ก็ถูกยกเลิกไป โดยเติ้งบอกว่าควรจะต้องยกเลิก “ลัทธิบูชาบุคคล” เสีย
ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาก็ไม่มีการเรียกผู้นำว่าเป็น “ท่านประธาน” อีก...มีแต่เลขาธิการ หรือประธานาธิบดีเป็นหลัก
นักวิเคราะห์บางคนกล่าวว่า ความชอบธรรมของรัฐบาลพรรคคอมมิวนิสต์นั้นจะขึ้นอยู่กับความสามารถที่จะส่งเสริมรายได้ที่มากขึ้น และงานที่ดีให้แก่คนงานชาวจีน
คำประกาศจากที่ประชุมรอบนี้นอกจากโครงสร้างอำนาจใหม่ ซึ่งเป็นประเด็นที่สำคัญที่สุดแล้วก็จะเป็นโอกาสที่พรรคจะนำเสนอทิศทางของจีนในหัวข้อใหญ่ๆ เช่น ทิศทางเศรษฐกิจของจีนในอีก 5 ปีข้างหน้า
เราจะได้อ่านแนวทางที่พรรควิเคราะห์ว่าจีนจะตั้งรับกับภาวะผันผวนเปราะบางของเศรษฐกิจอย่างไร
และจีนภายใต้การนำของ สี จิ้นผิง ที่เน้นแนวทางใหม่คือ Dual Circulation และ Common Prosperity ในภาคปฏิบัติอย่างไร
ทั้ง 2 เรื่องนี้คือความริเริ่มของ สี จิ้นผิง เพื่อลดการพึ่งพาตลาดต่างประเทศ หันมาเสริมสร้างอำนาจซื้อของคนจีนเอง
คำว่า Circulation หมายถึงการหมุนเวียนของเศรษฐกิจที่ สี จิ้นผิง ต้องการจะให้เศรษฐกิจหมุนเวียนในประเทศมากขึ้น ขณะที่ยังเชื่อมโยงกับเศรษฐกิจโลก
แต่ต้องไม่ถูกตัดขาดจากระบบ logistics อย่างที่จีนและทุกประเทศต้องเผชิญเมื่อโควิด-19 ระบาดในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา
ส่วน “ความรุ่งเรืองร่วมกัน” นั่นคือแนวทางของ สี จิ้นผิง ที่ต้องการเน้นการลดความเหลื่อมล้ำในสังคม และให้มีการกระจายความมั่งคั่งออกจากเมืองหลักๆ ไปสู่ชนบท
เพื่อลดช่องว่างระหว่างคนรวยกับคนจน ซึ่งเป็นประเด็นที่สำคัญมากสำหรับการที่ สี จิ้นผิง จะสร้าง “ความชอบธรรมทางการเมือง” สำหรับการนั่งอยู่ในอำนาจต่อไปอีกอย่างน้อย 1 สมัย
ที่ต้องจับตาดูอีกเรื่องหนึ่งคือ การประกาศว่าจะเดินหน้าดำเนินนโยบาย “โควิดต้องเป็นศูนย์” อีกหรือไม่อย่างไร
หรือถือโอกาสนี้ประกาศ “ชัยชนะ” เหนือโควิดอย่างไร
ที่มองข้ามไม่ได้คือ คำประกาศของผู้นำกลุ่มใหม่ต่อเรื่องไต้หวัน
เป็นที่แน่ชัดว่า สี จิ้นผิง ได้ย้ำถึงนโยบายตามแนวทางความสัมพันธ์แบบสายแข็งกับชาติตะวันตกในประเด็นของไต้หวัน
การมาเยือนไต้หวันของ แนนซี เพโลซี ประธานสภาผู้แทนราษฎรของสหรัฐอเมริกา เมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา ทำให้ปักกิ่งแสดงจุดยืนที่แข็งกร้าวที่สุดเท่าที่เคยมีมา
กองทัพจีนเปิดฉากซ้อมรบรอบๆ เกาะไต้หวันอย่างจริงจัง รวมทั้งการยิงขีปนาวุธจริงรอบๆ เกาะไต้หวัน
สี จิ้นผิง ย้ำว่า "การรวมชาติ" กับไต้หวัน "จะต้องสำเร็จ" ภายในปี 2049 ซึ่งเป็นปีครบรอบ 1 ศตวรรษของการสถาปนาสาธารณรัฐประชาชนจีนตั้งแต่ปี 1949
เขายืนยันว่าหากจำเป็นก็ไม่ปฏิเสธที่จะใช้กำลังเพื่อให้บรรลุเป้าหมายนี้เช่นกัน
จีนจะเดินหน้าต่อไปอย่างไร จะมีความเปลี่ยนแปลงในนโยบายสำคัญๆ ที่มีผลกระทบต่อไทยและภูมิภาคนี้อย่างไร...ผลการประชุมครั้งนี้คือตัวชี้ขาด.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
มีแม้วไม่มีเรา! วัดใจจุดยืน 'พรรคส้ม' หลังทักษิณขีดเส้นแบ่งข้างทุกเวทีแล้ว
นายสุทธิชัย หยุ่น สื่อมวลชนอาวุโส โพสต์เฟซบุ๊กว่า "พรรคส้มกล้าไหม? มีแม้วไม่มีเรา!
ประเทศเดียวในโลก ‘นายกฯทับซ้อน’ มหันตภัยปี 2568
นายสุทธิชัย หยุ่น สื่อมวลชนอาวุโส โพสต์เฟซบุ๊กว่าสำนักวิจัยต่าง ๆ กำลังวิเคราะห์เพื่อพยากรณ์ว่าประเทศไทยจะต้องเผชิญกับความท้าทายสาหัสอะไรบ้างใน
‘หยุ่น’ ฟันเปรี้ยงรอดยาก! ชั้น 14 ดิ้นอย่างไรก็ไม่หลุด
นายสุทธิชัย หยุ่น สื่อมวลชนอาวุโส โพสต์เฟซบุ๊กว่า เรื่องชั้น 14 จะดิ้นอย่างไรก็หลุดยาก จึงเห็นการเฉไฉ, ตีหน้าตาย
บิ๊กเซอร์ไพรส์ 'สุทธิชัย หยุ่น' เล่นซีรีส์ 'The White Lotus ซีซั่น 3'
เรียกว่าสร้างความเซอร์ไพรส์อย่างต่อเนื่อง สำหรับซีรีส์ The White Lotus ซีซั่น 3 ซึ่งจะสตรีมผ่าน Max ในวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2025 เพราะนอกจากจะมี ลิซ่า-ลลิษา มโนบาล หรือ ลิซ่า BLACKPINK ไอดอลเกาหลีสัญชาติไทย ที่กระโดดลงมาชิมลางงานแสดงเป็นครั้งแรก ในบทของ มุก สาวพนักงานโรงแรม
ถามแสกหน้า 'ทักษิณ' จะพลิกเศรษฐกิจไทยยังไง ทุกซอกมุมในสังคมยังเต็มไปด้วยทุจริตโกงกิน
นายสุทธิชัย หยุ่น นักวิเคราะห์ข่าวและผู้ดำเนินรายการข่าวชื่อดัง โพสต์เฟซบุ๊ก ถึงกรณีนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ว่า “เขาจะพลิกประเทศไทยให้เศรษฐกิจล้ำโลกได้หรือ
เขตเศรษฐกิจพิเศษชายแดนที่กลายเป็น ที่ซ่องสุมของอาชญากรรมข้ามชาติ
เมื่อวานเขียนถึงรายงานในสำนักข่าวชายขอบที่สำนักจะได้รับความสนใจของรัฐบาลไทยว่าด้วยกิจกรรมอาชญากรรมข้ามชาติในบริเวณ “เขตเศรษฐกิจพิเศษ” ที่สามเหลี่ยมทองคำ