เจตนาล้มล้าง!

เป็นบรรทัดฐาน....

ครับ...คำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ คดี แกนนำสามนิ้ว ใช้เสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครอง ถือว่าชัดเจนในทุกมิติ

....พิจารณาแล้วเห็นว่า พระมหากษัตริย์กับชาติไทยดำรงอยู่คู่กันเป็นเนื้อเดียวกันนับแต่อดีต ถึงปัจจุบัน และจะต้องดำรงอยู่ด้วยกันต่อไปในอนาคตเพื่อธำรงความเป็นชาติไทยไว้ ปวงชนชาวไทยจึงถวาย ความเคารพสักการะ ผู้ใดจะละเมิดมิได้

การกระทำของผู้ถูกร้องที่ ๑ (อานนท์ นำภา) ที่ ๒ (ภาณุพงศ์ จาดนอก) และที่ ๓ (ปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล) เป็นการเซาะกร่อน บ่อนทำลายการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข

การออกมาเรียกร้องโจมตี ในที่สาธารณะโดยอ้างการใช้สิทธิและเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญ นอกจากเป็นวิธีที่ไม่ถูกต้อง  ใช้ถ้อยคำ หยาบคาย และยังไปละเมิดสิทธิหรือเสรีภาพของประชาชาชนอื่นที่เห็นต่างด้วย อันจะเป็นกรณีตัวอย่าง ให้บุคคลอื่นกระทำตาม

ยิ่งกว่านั้น การกระทำของผู้ถูกร้องที่ ๑ ที่ ๒ และที่ ๓ มีการดำเนินงานอย่างเป็นขบวนการเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์และเป้าหมาย

แม้การปราศรัยของผู้ถูกร้องที่ ๑ ที่ ๒ และที่ ๓ เมื่อวันที่  ๑ สิงหาคม ๒๕๖๓ ณ เวทีธรรมศาสตร์จะไม่ทน มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต จะผ่านไปแล้ว ภายหลังจากที่ผู้ร้องยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ ยังปรากฏว่า ผู้ถูกร้องที่ ๑ ที่ ๒ และที่ ๓ ยังคงร่วมชุมนุมกับกลุ่มบุคคล กลุ่มต่างๆ

โดยใช้ยุทธวิธีเปลี่ยนแปลงรูปแบบการชุมนุม วิธีการชุมนุม เปลี่ยนตัวบุคคลผู้ปราศรัย ใช้กลยุทธ์เป็นแบบไม่มีแกนนำที่ชัดเจน แต่มีรูปแบบ

การกระทำอย่างต่อเนื่องโดยกลุ่มคนที่มีแนวคิดเดียวกัน  การเคลื่อนไหวของผู้ถูกร้องที่ ๑ ที่ ๒ และ ที่ ๓ และกลุ่มเครือข่ายที่เกี่ยวข้อง มีลักษณะเป็นขบวนการเดียวกันที่มีเจตนาเดียวกันตั้งแต่แรก

ผู้ถูกร้องที่ ๑ ที่ ๒ และที่ ๓ มีพฤติการณ์กระทำซ้ำและกระทำต่อไปอย่างต่อเนื่อง โดยมีการ กระทำกันเป็นขบวนการ ซึ่งมีลักษณะของการปลุกระดมและใช้ข้อมูลที่เป็นเท็จ

แต่มีลักษณะ ของการที่ก่อให้เกิดความวุ่นวายและใช้ความรุนแรงในสังคม ทำให้เกิดความแตกแยกของคนในชาติ อันเป็นการทำลายหลักความเสมอภาคและภราดรภาพ นำไปสู่การล้มล้างระบอบประชาธิปไตยในที่สุด

ทั้งเป็นการกระทำที่มีเจตนาเพื่อทำลายหรือทำให้สถาบันพระมหากษัตริย์ต้องสิ้นสลาย ไม่ว่าจะโดยการพูด  การเขียน หรือการกระทำต่างๆ เพื่อให้เกิดผลเป็นการบ่อนทำลาย ด้อยคุณค่า หรือทำให้อ่อนแอลง ย่อมแสดงให้เห็นถึงการมีเจตนาเพื่อล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์อีกด้วย

ศาลรัฐธรรมนูญมีมติโดยเสียงข้างมาก วินิจฉัยว่า การกระทำของผู้ถูกร้องที่ ๑ ที่ ๒ และที่ ๓ เป็นการใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมี พระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขตามรัฐธรรมนูญ มาตรา ๔๙  วรรคหนึ่ง

และมีมติเป็นเอกฉันท์ สั่งการให้ผู้ถูกร้องที่ ๑ ที่ ๒ และที่  ๓ รวมทั้งกลุ่มองค์กรเครือข่ายเลิกกระทำการดังกล่าวที่จะ เกิดขึ้นต่อไปในอนาคตด้วย ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา ๔๙  วรรคสอง..."

ศาลรัฐธรรมนูญไม่มีบทลงโทษ เพียงให้เลิกการกระทำ

แต่แกนนำสามนิ้ว รุ้ง ไมค์ และ อานนท์ ยังต้องเจอคดีอาญา ที่ "ณฐพร โตประยูร" ยื่นคำร้องไว้ที่สำนักงานอัยการสูงสุดด้วย

เมื่อคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญออกมาแบบนี้ สำนักงานอัยการสูงสุด ต้องเดินหน้าไปยังศาลอาญาทันที

ความผิดต่อองค์พระมหากษัตริย์ ความผิดต่อความมั่นคงของรัฐภายในราชอาณาจักร มีทั้ง ดูหมิ่นหรือแสดงความอาฆาตมาดร้าย พระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท ล้มล้างการปกครอง

ล้วนข้อหาหนักทั้งสิ้น

ความโดยสรุปคือขบวนการสามนิ้ว จะอ้างเสรีภาพในการใช้ถ้อยคำหยาบคาย ปลุกระดม ด้วยข้อมูลเท็จ โจมตีสถาบันพระมหากษัตริย์ไม่ได้อีกต่อไป

หากฝ่าฝืน คดีอาญาหลังจากนี้จะหนักหนาสาหัส

ก็เตือนกันไว้ เพราะการอ้างเรื่องปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์ แต่มีเจตนาล้มล้างนั้นคือสิ่งที่ผิดกฎหมาย

จุดเริ่มต้นปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์เพิ่งจะเกิดเมื่อช่วงสองสามปีมานี่เอง

"สมศักดิ์ เจียม" แม้จะแสดงท่าทีเกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์มานาน เน้นไปที่การยกเลิก ม.๑๑๒ ประวัติศาสตร์การเมือง โดยโจมตีสถาบันพระมหากษัตริย์เป็นหลัก

แต่คนที่จุดไฟเรื่องนี้จริงๆ คือ "ปิยบุตร แสงกนกกุล"

ม็อบ ๓ นิ้วล้วนได้รับอิทธิพลทางความคิดมาจาก "ปิยบุตร" แทบทั้งสิ้น

วันที่ ๓ สิงหาคม ๒๕๖๓ "อานนท์ นำภา" ปราศรัยประเด็นปัญหาเกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์ ณ อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย

๗ วันให้หลัง การชุมนุมที่ธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต นำโดย อานนท์ นำภา, พริษฐ์ ชิวารักษ์, ปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล  และ ภาณุพงศ์ จาดนอก ได้ปราศรัยข้อเรียกร้องการปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ ๑๐ ข้อ

ทั้งหมดนี้เกิดหลัง "ปิยบุตร" พูดถึงการปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์ในมุมตัวเอง ทั้งในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และโซเชียล กระจายไปสู่คนรุ่นใหม่ โดยเฉพาะ นิสิต นักศึกษา ในมหาวิทยาลัย

การปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์ ในมุมของ "ปิยบุตร"  ไม่ได้รับความไว้วางใจจากประชาชนจำนวนมาก เพราะไม่เชื่อว่า เป็นการปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์ในมุมบวก

เพราะ "ปิยบุตร" มักอ้างถึงปฏิวัติฝรั่งเศส

ความหลงใหลในปฏิวัติฝรั่งเศสของ "ปิยบุตร" อยู่ระดับที่เกินคำว่าคลั่งไคล้ และดูเหมือนอยากให้เกิดขึ้นกับประเทศไทย

การแสดงออกผ่านโซเชียลมานานนับปี จับจุดได้ว่า "ปิยบุตร" มีมุมมองต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ของไทย โดยสร้างจินตนาการว่า เหมือน ยุคพระเจ้าชาร์ลส์ที่ ๑๐

"ปิยบุตร" สรุปเอาเองว่า การที่กลุ่ม Ultra-Royalist และ ชาร์ลส์ที่ ๑๐ ร่วมมือกันสร้างความชอบธรรมให้กับระบอบเก่าด้วยการรื้อฟื้นสัญลักษณ์ของสถาบันกษัตริย์ก่อนปฏิวัติ ๑๗๘๙ กลับมาใหม่ เหมือนกับสิ่งที่กำลังเกิดในไทย

ไม่ว่าจะเป็นพิธีราชาภิเษก การก่อสร้างอนุสาวรีย์พระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๖ ซึ่งโดนคณะปฏิวัติประหารด้วยเครื่องกิโยติน

การออกกฎหมายชดเชยค่าเสียหายให้แก่เจ้าและขุนนางที่ได้รับผลกระทบจากการปฏิวัติฝรั่งเศส ๑๗๘๙ ซึ่งคำนวณกันว่าต้องใช้งบประมาณถึง ๖๓๐ ล้านฟรังก์

ตลอดจนการออกกฎหมายกำหนดโทษแก่ผู้ลบหลู่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ โดยเฉพาะผู้ที่ขโมยหรือทำลายสิ่งศักดิ์สิทธิ์จะมีโทษถึงประหารชีวิต

นอกจากนี้ยังเพิ่มความเข้มงวดการเซ็นเซอร์สื่อและการจำกัดเสรีภาพการพิมพ์อีกด้วย

ทั้งหมดนี้ "ปิยบุตร" คิดว่าประเทศไทยในขณะนี้กำลังเป็นเหมือน ยุคพระเจ้าชาร์ลส์ที่ ๑๐

หลายครั้ง "ปิยบุตร" แสดงความเห็นผ่านโซเชียลเชิงโค่นล้ม

เช่นวันที่ ๒๘ กรกฎาคม ๒๕๖๓ โพสต์ข้อความว่า

"...การปฏิวัติ ๒๗-๒๙ กรกฎาคม ๑๘๓๐ คือ การผนึกกำลังระหว่างฝ่ายสาธารณรัฐนิยม ฝ่ายกษัตริย์นิยมสายเสรีนิยม-ปฏิรูป ฝ่ายกระฎุมพี ฝ่ายชนชั้นล่าง กรรมกร ฝ่ายปัญญาชน เพื่อโค่นล้มกษัตริย์ Charles X ที่มีแนวนโยบายนำพาฝรั่งเศสกลับไปสู่ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ก่อน  ๑๗๘๙ ภายใต้การสนับสนุนของปีก Ultra-Royalist..."

 สองสามวันก่อนก็บอกว่า "มีความพยายามสร้างระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์จำแลง"          

ชุดความคิดล้วนมีอิทธิพลจากปฏิวัติฝรั่งเศสทั้งสิ้น        

สถานการณ์ของสถาบันพระมหากษัตริย์ไทยในปัจจุบันเหมือน ยุคพระเจ้าชาร์ลส์ที่ ๑๐ อย่างนั้นหรือ

การปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข เหมือนกับยุคสมบูรณาญาสิทธิราชย์ฝรั่งเศสอย่างนั้นหรือ

พระราชอำนาจต่างกันลิบลับ

พระมหากษัตริย์ไทยภายใต้รัฐธรรมนูญ ถูกมองว่าเป็นตรายางด้วยซ้ำ

ไม่มีพระราชอำนาจในการปกครอง

แต่ก็มีความพยายามบิดเบือนว่า ทรงมีพระราชอำนาจเต็มในการปกครองทุกเรื่อง 

มีการสร้างชุดข้อมูลเท็จ และข่าวลือ ว่า พระมหากษัตริย์ทรงใช้พระราชอำนาจแทรกแซงรัฐบาล ในการบริหารประเทศ

โซเชียลคือที่ระบายชุดข้อมูลที่ว่านี้

คนรุ่นใหม่บางกลุ่มที่คิดว่าตนเองฉลาด

แต่กลับเชื่อความเท็จหัวปักหัวปำ

สังคมไทยต้องการพลเมืองที่มีความคิด มากกว่าแมลงเม่าที่เต็มใจเชื่อเฟกนิวส์ในโซเชียล

หาไม่แล้ว แผ่นดินจะลุกเป็นไฟตามที่ "ปิยบุตร" ต้องการจริงๆ

แต่เป็นไฟที่แผดเผาแมลงเม่า.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ทลายทุนผูกขาด

ชื่นใจ... ชื่นใจในความรวยของเศรษฐีไทยครับ วารสารการเงินธนาคาร ร่วมกับ อาจารย์ประจำคณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ทำการจัดอันดับเศรษฐีหุ้นไทยติดต่อกันปีนี้เป็นปีที่ ๓๑ แล้วครับ

นายกฯ ฝึกงาน

ขยี้ตาสิบที... แถลงผลงานในรอบ ๓ เดือนแน่นะ "อิ๊งค์" ไปดูอีกทีกับการแถลงข่าววานนี้ (๑๒ ธันวาคม)

ชะตากรรม 'นายกฯ ชินวัตร'

วันนี้ (๑๒ ธันวาคม) นายกฯ อิ๊งค์ แถลงผลงาน อยากรู้ว่าผลงานมีอะไรบ้าง เชิญเฝ้าหน้าจอสถานีโทรทัศน์เอ็นบีที หรือช่อง ๑๑ นั่นแหละครับ

ง่ายๆ แค่เลิกโกง

อาจถึงขั้นเปลี่ยนขั้วตั้งรัฐบาลกันเลยทีเดียวครับ... หากพรรคเพื่อไทย จะเอาให้ได้ กับร่างแก้ไขพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) จัดระเบียบราชการกระทรวงกลาโหม ด้วยการจับยัดเข้าสภาฯ ก็สามารถยึดอำนาจกองทัพได้สำเร็จครับ