เสียงเตือนเกี่ยวกับ “ภัยเศรษฐกิจที่ถูกปัดเข้าใต้พรม” ของจีนนั้นมีมาเป็นระยะๆ
แต่ก็มักจะได้รับการปฏิเสธจากทางการจีนที่ยืนยันว่า “ทุกอย่างยังอยู่ภายใต้การควบคุมดูแล” ของทางการจีน
คำว่า “ฟองสบู่อสังหาฯ” ของจีนยังปรากฏให้เห็นแนวทางวิเคราะห์ของบางสำนักในซีกตะวันตก
คนที่ติดตามเรื่องราวของชาวบ้านคนจีนบางมณฑลที่ออกมาประท้วง เพราะโครงการอสังหาฯ บางแห่งเกิดเจ๊งต่อหน้าต่อตา แต่ไม่ยอมคืนเงินที่ลูกค้าผ่อนส่งไปแล้ว
ทำให้ทางการจีนต้องเข้ามาไกล่เกลี่ยและเยียวยาเพื่อไม่ให้ความตระหนกของประชาชนคนจีนแพร่กระจายไป
ในภาวะที่รัฐบาลจีนก็ยังกังวลถึงอัตราโตทางเศรษฐกิจปีนี้ที่ถูกกระทบโดยการล็อกดาวน์เพราะโควิดในหลายช่วงตลอด 3 ปีที่ผ่านมา
มาถึงจุดที่ทางการจีนบอกว่าจะไม่ประกาศ “เป้า” ของอัตราเติบโตทางเศรษฐกิจสำหรับปีนี้
ความหมายคือได้เท่าไหร่ก็เท่านั้น เพื่อไม่ให้มีการวิพากษ์ว่าอัตราโตของจีน “ต่ำกว่าเป้า”
เมื่อไม่มี “เป้าหมายทางการ” ก็ไม่มีคำว่า “ต่ำกว่า” หรือ “สูงกว่า” เป้า
เป็นวิธี “บริหารความคาดหวัง” ทั้งของคนจีนเองและของประชาคมโลกที่จับตาความเคลื่อนไหวของจีนทุกฝีก้าวอย่างใกล้ชิด
แต่จะว่าไปแล้วแม้ว่าอัตราโตของจีดีพีของจีนปีนี้จะหดตัวลงบ้างก็ยังสูงกว่าประเทศยักษ์ๆ อื่นๆ อีกหลายภูมิภาคอยู่ดี
ที่ผู้คนสนใจอีกด้านหนึ่งคือ คำเตือนจากผู้บริหารสูงสุดหรือ “ซีอีโอ” ของบริษัทยักษ์อย่าง Huawei ที่เพิ่งส่งสัญญาณน่ากังวลสำหรับเศรษฐกิจจีน
จดหมายเวียนภายในบริษัทที่เขียนโดย “เหริน เจิ้งเฟย” ซีอีโอของหัวเว่ยนั้นหลุดออกมาจนกลายเป็นเรื่องฮือฮา
“บันทึกภายใน” ฉบับนั้นสะท้อนถึงการประเมินสถานการณ์เศรษฐกิจของจีนและของโลกที่ทำให้หัวเว่ยต้องมีการปรับตัวอย่างรุนแรงและรวดเร็ว
ประโยคที่ทำให้พนักงานทุกคนที่ได้อ่านแล้วคงหนาวคือ ตรงที่บอกว่า
“ความหนาวเย็นจะกระจายมากระทบทุกคน...”
ใครได้อ่านบันทึกนี้แล้วก็พอจะเข้าใจได้ว่าในฐานะผู้นำสูงสุดขององค์กร เหริน เจิ้งเฟย ต้องสื่อสารกับทีมงานอย่างตรงไปตรงมา
เพราะหากไม่วิเคราะห์สถานการณ์ด้วยฉากทัศน์ที่เลวร้ายที่สุดแล้วก็จะไม่สามารถกระตุ้นให้เกิดการปรับตัวและลุกขึ้นมาแก้ไขปัญหาก่อนที่จะสายเกินไป
ตอนหนึ่งของเอกสารที่ฝรั่งมักจะเรียกว่า Internal Memo นั้นบอกว่า ถ้าจะให้หัวเว่ยยังอยู่รอดปลอดภัยไปอีก 3 ปีข้างหน้า ทุกคนต้องเข้าใจว่าจะต้องเน้นไปที่เรื่อง “กำไร” และ “กระแสเงินสด”
ไม่ใช่มุ่งในการขยายกิจการหรือการเติบโต
เพราะภายใต้สถานการณ์ที่เห็นๆ อยู่นั้น การขยายธุรกิจมิได้เป็นเป้าหมายอันดับต้นๆ ของบริษัทอีกต่อไป
หนีไม่พ้นว่าเขากำลังส่งสัญญาณว่าการลดพนักงานและรัดเข็มขัดในทุกๆ ด้านกำลังจะกลายเป็นนโยบายหลักเพื่อความอยู่รอด
ความจริงเสียงเตือนของเหริน เจิ้งเฟย มีความละม้ายกับนักบริหารทางตะวันตกที่ต้อง “เอาความจริงมาพูดกัน” ก่อนที่จะสายเกินไป
อีกตอนหนึ่งของบันทึกนั้นบอกว่า
“ทศวรรษต่อไปนี้จะเต็มไปด้วยความเจ็บปวด เพราะเศรษฐกิจโลกจะทรุดตัวลงอย่างต่อเนื่อง”
ปัจจัยที่ทำให้เกิดวิกฤตเช่นว่านี้ก็หนีไม่พ้นโควิด, สงครามยูเครน และนโยบายของอเมริกาที่ยังขัดขวางและปิดล้อมธุรกิจบางอย่างของจีนอยู่อย่างต่อเนื่อง
สะท้อนว่าบริษัทยักษ์อย่างหัวเว่ยกลายเป็นเหยื่อของการเผชิญหน้าระหว่างจีนกับสหรัฐฯ ทั้งที่ผ่านมาและต่อไปในอนาคตอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
หากย่อความเป็นประโยคเดียว สาระสำคัญของเขาสำหรับพนักงานทั้งหมดคือ
“เอาตัวให้รอด”
อย่ามองโลกสวยเพียงเพราะแนวโน้มธุรกิจบริษัทยังดูดีอยู่วันนี้
เพราะพายุร้ายแห่งเศรษฐกิจโลกกำลังถาโถมมาจากทุกทิศทุกทางอย่างแน่นอน
และต้องมองไปปีหน้าคือ 2023 และต่อไปอีก 3 ปีเป็นอย่างน้อย
เพราะวิกฤตโลกจะไม่หายไปง่ายๆ ในเมื่อปัจจัยทางลบมีอยู่กลาดเกลื่อนไปทั่ว
อีกประเด็นหนึ่งในคำเตือนของเขาคือ ปรับตัวให้เข้ากับอนาคต
ทำความเข้าใจว่าอะไรที่ทำได้และอะไรที่ควรจะยอมทำใจตัดทิ้งไป
ไม่ต่างอะไรกับที่นักบริหารที่เคยเผชิญวิกฤตแล้วต้องตัดแขนตัดขาเพื่อรักษาอวัยวะที่สำคัญไว้
อะไรที่ทำอยู่เพียงเพราะมัน “เท่” ต้องทบทวนใหม่หมด
แน่นอนว่าน้ำเสียงที่ขึงขังของซีอีโอหัวเว่ยนั้นมาจากตัวเลขรายได้และกำไรที่หดหาย
รายได้ในไตรมาสแรกของปีนี้ลดลงถึง 14%
ขณะที่กำไรสุทธิลดลงเหลือเพียง 4.3%
ทั้งๆ ที่เคยทำได้ 11.1% เมื่อปีก่อนหน้านั้น
เศรษฐกิจจีนในภาพรวมก็มีตัวเลขที่น่ากังวลในหลายด้าน
เช่น อัตราว่างงานในกลุ่มเยาวชนจีนในเดือนกรกฎาคมกระโดดไปที่ 19.9% ซึ่งสูงเป็นประวัติการณ์
อัตราว่างงานทั่วไปในเขตเมืองก็ยังสูงกว่าระดับที่น่าพอใจของทางการ เพราะอยู่ที่ 5.4% ในเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา
สำหรับรัฐบาลจีนแล้วเสถียรภาพทางการเมืองจะรักษาไว้ได้ต้องมีความมั่นคงทางเศรษฐกิจเป็นหลัก
จึงเป็นที่มาของการตัดสินใจของรัฐบาลจีนที่เพิ่งประกาศอัดฉีดเงินอีก 146,000 ล้านดอลลาร์ (5.2 ล้านล้านบาท) เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยมาตรการ 19 ด้านอย่างคึกคัก
ยิ่งปีนี้เป็นปีที่พรรคคอมมิวนิสต์จีนจะประชุม (กำหนดเริ่ม 16 ตุลาคมนี้) เพื่อมีมติต่ออายุการเป็นผู้นำสูงสุดของประเทศของสี จิ้นผิง ไปอีก 5 ปี ก็ยิ่งเห็นความสำคัญที่ให้ความมั่นใจกับประชาชนคนจีนทั้ง 1.4 พันล้านคน ว่า
ท่ามกลางความท้าทายรอบด้านที่กระทบจีนนั้น ท่านผู้นำต้อง “เอาอยู่” ให้ได้ ไม่ว่าต้องเผชิญกับอุปสรรคใดๆ ทั้งในประเทศและต่างประเทศก็ตาม.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
ถามแสกหน้า 'ทักษิณ' จะพลิกเศรษฐกิจไทยยังไง ทุกซอกมุมในสังคมยังเต็มไปด้วยทุจริตโกงกิน
นายสุทธิชัย หยุ่น นักวิเคราะห์ข่าวและผู้ดำเนินรายการข่าวชื่อดัง โพสต์เฟซบุ๊ก ถึงกรณีนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ว่า “เขาจะพลิกประเทศไทยให้เศรษฐกิจล้ำโลกได้หรือ
เขตเศรษฐกิจพิเศษชายแดนที่กลายเป็น ที่ซ่องสุมของอาชญากรรมข้ามชาติ
เมื่อวานเขียนถึงรายงานในสำนักข่าวชายขอบที่สำนักจะได้รับความสนใจของรัฐบาลไทยว่าด้วยกิจกรรมอาชญากรรมข้ามชาติในบริเวณ “เขตเศรษฐกิจพิเศษ” ที่สามเหลี่ยมทองคำ
แหล่งค้ามนุษย์ใน 3 เหลี่ยมทองคำ
เขตเศรษฐกิจพิเศษหรือ SEZ บริเวณสามเหลี่ยมทองคำที่โยงกับไทยนั้นกลายเป็นประเด็นเรื่องอาชญกรรมข้ามชาติที่สมควรจะได้รับความสนใจของรัฐบาลไทยอย่างจริงจัง
ไบเดนหรือทรัมป์? เอเชียน่าจะเลือกใครมากกว่า?
ผมค่อนข้างมั่นใจว่าการดีเบตระหว่างโจ ไบเดน กับโดนัลด์ ทรัมป์ วันนี้ (เวลาอเมริกา) จะไม่ให้ความสำคัญต่อเอเชียหรืออาเซียน
พรุ่งนี้ ลุ้นดีเบตรอบแรก โจ ไบเดนกับโดนัลด์ ทรัมป์
ผมลุ้นการโต้วาทีระหว่างโจ ไบเดน กับโดนัลด์ ทรัมป์ ที่จะมีขึ้นในวันพรุ่งนี้ (27 มิถุนายน) เพราะอยากรู้ว่า “ผู้เฒ่า” สองคนนี้จะมีความแหลมคมว่องไวในการแลกหมัดกันมากน้อยเพียงใด
เธอคือ ‘สหายร่วมรบ’ ผู้ร่วมก่อตั้งพรรค NLD คนสุดท้าย!
อองซาน ซูจีมีอายุ 79 ปีเมื่อวันที่ 19 มิถุนายนที่ผ่านมา...และยังถูกจำขังในฐานะจำเลยของกองทัพพม่าที่ก่อรัฐประหารเมื่อกว่า 3 ปีที่แล้ว