'รอยต่อ'ไม่ใช่'ต่อเนื่อง

เอกสารหลุด!

คำชี้แจงของ "มีชัย ฤชุพันธ์" อดีตประธานคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ กรณีการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา  ที่ยื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญ จำนวนทั้งสิ้น ๓ แผ่น หลุดอออกมาจากสารบบอย่างไรมิทราบได้

ทั้งที่เอกสารนี้ควรอยู่ในแฟ้มของศาลรัฐธรรมนูญ

แต่ก็กลายเป็นข่าวฮือฮาเพราะเนื้อหา ตอกย้ำการบังคับใช้รัฐธรรมนูญ ๒๕๖๐ ว่ามิอาจมีผลบังคับใช้ย้อนหลังได้

วิจารณ์กันว่าเป็นการช่วย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา 

ย้อนกลับไปวันที่ ๒๔ สิงหาคม ที่ผ่านมา วันที่ศาลรัฐธรรมนูญมีมติ   เป็นเอกฉันท์ให้รับคำร้องของพรรคร่วมฝ่ายค้าน กรณีนายกฯ ๘ ปี ไว้พิจารณา

และมีมติ ๕ ต่อ ๔ ให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หยุดปฏิบัติหน้าที่ จนกว่าศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำวินิจฉัยออกมา

วันนั้นศาลรัฐธรรมนูญต้องยกเลิกการแถลงข่าว เพราะมติข้างต้นหลุดออกมาก่อนที่จะเปิดแถลงข่าวอย่างเป็นทางการ

เอกสารหลุดมีผลอย่างไร?

มีแน่นอนครับ

ในสังคมที่ผู้คนแตกแยกเป็น ๒ ขั้วใหญ่ ย่อมมีความเห็นที่แตกต่างกันในเรื่องเดียวเสมอ เป็นความเห็นต่างที่ไม่เคารพในข้อเท็จจริง         

ต่อให้มองเห็นในข้อเท็จจริงเดียวกัน เหมือนๆกัน  แต่อารมณ์ ความรู้สึกชอบ ไม่ชอบ กลับเป็นปัจจัยชี้ขาดว่ามองเรื่องนั้นเช่นไร

อย่างกรณี นายกฯ ๘ ปี   มุมมองที่แตกต่าง มีอยู่ค่อนข้างมาก

นอกจากตีความกฎหมายคนละแบบแล้ว อารมณ์ความรู้สึกยังอยู่เหนือข้อเท็จจริงทั้งปวง

นี่จึงมีการจับตาการวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญเป็นพิเศษ

และแน่นอนมีการจับจ้องว่า จะมีการช่วยเหลือ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา  ให้ได้ไปต่อ

โดยเฉพาะคำชี้แจงของ "มีชัย ฤชุพันธ์"  มีการฟังธงไปแล้วว่าคือการชี้แจงที่เป็นบวกกับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา 

ไปดู คำชี้แจงของ "มีชัย ฤชุพันธ์"  กันก่อน

...ตามที่ศาลรัฐธรรมนูญได้มีคำสั่งตามหนังสือที่อ้างถึงข้างต้นสั่งให้ข้าพเจ้าในฐานะประธาน กรรมการร่างรัฐธรมนูญจัดทำความเห็นเป็นหนังสือตามประเด็นที่กำหนด ซึ่งมีความว่า "ผู้เป็นนายกรัฐมนตรีอยู่ก่อนวันที่รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๖๐ ใช้บังคับ ตามบทเฉพาะกาลมาตรา ๒๖๔ สามารถนับรวมระยะเวลาที่ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีตังกล่าวเข้ากับวาระการดำรง ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีตามรัฐธรรมนูญแห่งรารอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๒๐ มาตรา ๑๕๘ วรรคสี่หรือไม่ และนับแต่เมื่อใด" นั้น

ข้าพเจ้ามีความเห็นในประเด็นดังกล่าว ดังต่อไปนี้

๑. รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๖๐ มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ ๖ เมษายน ๒๕๖๐ ตามที่ปรากฏในพระบรมราชโองการในวรรคห้า และถูกต้องตรงตามที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช ๒๕๕๗ ผลบังคับจึงมีตั้งแต่วันที่ ๖ เมษายน ๒๕๖๐ เป็นต้นไป และไม่อาจมีผลไปถึงการใด ๆ ที่ได้ดำเนินการมาแล้วโดยชอบก่อนวันที่รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยนี้ใช้บังคับ เว้นแต่จะมีบทบัญญัติไว้เป็นการเฉพาะ

๒. ในส่วนที่เกี่ยวกับคณะรัฐมนตรีนั้น รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๖๐ ได้บัญญัติเรื่องคุณสมบัติ (มาตรา ๑๖๐) ที่มา (มาตรา ๘๘) วิธีการได้มา (มาตรา ๑๘๙ และมาตรา๒๗๒) กรอบในการปฏิบัติหน้าที่ (มาตรา ๑๖๔) ระยะเวลาในการดำรงตำแหน่ง (มาตรา ๑๕๘ วรรคสี่) และผลจากการพ้นจากตำแหน่ง (มาตรา ๑๖๘) ไว้แตกต่างจากรัฐธรรมนูญที่เคยมีมา และส่วนใหญ่เป็นไปในทางจำกัดสิทธิและเพิ่มความรับผิดชอบ บทบัญญัติต่าง ๆ เหล่านั้น จึงไม่อาจนำไปใช้กับบุคคลหรือการดำเนินการใดๆ ที่ได้กระทำไปโดยชอบแล้วก่อนที่รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๖๐ มีผลใช้บังคับ เว้นแต่จะมีบทบัญญัติกำหนดไว้เป็นประการอื่นโดยเฉพาะ โดยหลักทั่วไปกฎเกณฑ์ต่างๆ ที่กำหนดขึ้นย่อมต้องมุ่งหมายที่จะใช้กับคณะรัฐมนตรีที่ดำรงตำแหน่งตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยพุทธศักราช ๒๕๖๐

๓. อย่างไรก็ตาม การที่จะได้มาซึ่งคณะรัฐมนตรีตามรัธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยพุทธศักราช ๒๕๖๐ จะกระทำได้ก็ต่อเมื่อการเลือกตั้งทั่วไป มีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และวุฒิสภาที่จะต้องแต่งตั้งขึ้นใหม่ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๖๐ ก่อน แต่ประเทศไม่อาจว่างเว้นการมีคณะรัฐมนตรีเพื่อบริหารประเทศได้ จึงมีความจำเป็นที่จะต้องมีบทเฉพาะกาลเพื่อกำหนดให้การบริหารราชการแผ่นดินสามารถดำเนินต่อไปได้โดยไม่ติดขัด จึงได้มีบทบัญญัติมาตรา ๒๖๔ บัญญัติขึ้นเป็นการเฉพาะว่า "ให้คณะรัฐมนตรีที่บริหารราชการแผ่นดินอยู่ในวันก่อนวันประกาศใช้รัฐธรรมนูญนี้เป็นคณะรัฐมนตรีตามบทบัญญัติแห่งรัฐรรมนูญนี้ จนกว่าคณะรัฐมนตรีที่ตั้งขึ้นใหม่ภายหลังการเลือกตั้งทั่วไปครั้งแรกตามรัฐรรมนูญนี้จะเข้ารับหน้าที่..." โดยมีบทบัญญัติผ่อนปรนเกี่ยวกับคุณสมบัติและการปฏิบัติหน้ที่บางประการไว้ให้เป็นการเฉพาะ

๔.โดยผลของมาตรา ๒๖๔ ดังกล่าว คณะรัฐมนตรีรวมทั้งนายกรัฐมนตรีที่ดำรงตำแหน่งอยู่เฉพาะในวันก่อนวันประกาศใช้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๖๐ จึงเป็นคณะรัฐมนตรี ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๖๐ ตั้งแต่วันที่รัฐชรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยพุทธศักราช ๒๕๖๐ ใช้บังคับ คือ วันที่ ๖ เมษายน ๒๕๖๐ และโดยผลดังกล่าวบทบัญญัติทั้งปวงของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๖๐ รวมทั้งบทเฉพาะกาลที่ผ่อนปรนให้จึงมีผลต่อคณะรัฐมนตรีและนายกรัฐมนตรีดังกล่าวตั้งแต่วันที่ ๖ เมษายน ๒๕๖๐ อันเป็นวันที่รัฐธรรมนูญมีผลใช้บังคับเป็นต้นไป และระยะเวตาตามมาตรา ๑๕๘ วรรศสี่ จึงเริ่มนับดั้งแต่บัดนั้น คือ วันที่ ๖ เมษายน เป็นต้นไป....

สรุปความเห็นของ "มีชัย ฤชุพันธุ์" คือ....

รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๖๐  มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ ๖ เมษายน ๒๕๖๐ ตามที่ปรากฏในพระบรมราชโองการในวรรคห้า   ไม่อาจบังคับย้อนหลังได้

ต้องกำหนดความต่อเนื่องของรัฐบาล ระหว่างรัฐธรรมนูญปี ๒๕๕๗ กับ รัฐธรรมนูญปี ๒๕๖๐ เพราะประเทศไม่อาจว่างเว้นการมีคณะรัฐมนตรีเพื่อบริหารประเทศได้ จึงมีความจำเป็นที่จะต้องมีบทเฉพาะกาลเพื่อกำหนดให้การบริหารราชการแผ่นดินสามารถดำเนินต่อไปได้โดยไม่ติดขัด

และมีบทบัญญัติผ่อนปรนเกี่ยวกับคุณสมบัติและการปฏิบัติหน้ที่บางประการไว้ให้เป็นการเฉพาะ

จึงมีผลให้เริ่มนับตั้งแต่บัดนั้น คือ วันที่ ๖ เมษายน ๒๕๖๐ เป็นต้นไป

วาระการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของ  พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา   ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา ๑๕๘ วรรศสี่  จึงไปสิ้นสุดที่เดือนเมษายน ๒๕๖๘

ถามว่ามีผลชี้นำการวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญหรือไม่

แน่นอนครับ คำชี้แจงของ "มีชัย ฤชุพันธุ์" มีน้ำหนัก แต่ศาลรัฐธรรมนูญมิได้วินิจฉัยบนพื้นฐานของความคิด "มีชัย ฤชุพันธุ์"

สาระสำคัญของคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญอย่างน้อยต้องประกอบด้วยข้ออ้างและคำขอในคำร้องหรือหนังสือขอให้ศาลพิจารณาวินิจฉัยข้อโต้แย้งในคำชี้แจงข้อกล่าวหา ประเด็นแห่งคดี สรุปข้อเท็จจริงที่ได้จากการพิจารณา เหตุผลในการวินิจฉัยในแต่ละประเด็น

และบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญและกฎหมายที่ยกขึ้นอ้างอิง

รวมทั้งผลแห่งคำวินิจฉัย

นอกจากนี้คำวินิจฉัยของศาลต้องลงลายมือชื่อของตุลาการที่วินิจฉัยด้วย

ผลจะออกมาเช่นไร นั่นคือการทำหน้าที่ของศาล

ส่วนความชอบ ไม่ชอบ  ด้วยเหตุผลทางการเมือง คือธรรมดามนุษย์.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

บ้านพิษส่องหล้า

นานๆ ทีถึงจะได้เปิดใช้ บ้านพิษณุโลกครับ วานนี้ (๒๖ กันยายน) "มาดามแพ" นำทีมที่ปรึกษา ๕ อรหันต์ทองคำ เปิดบ้านพิษณุโลก ประชุมเรื่องการบ้านการเมือง

'พรรคส้ม' พี่เก๋าหรอ

หันหัวเรือกลับเรียบร้อย... พรรคเพื่อไทยใส่เกียร์ถอย ไม่แก้ไขรัฐธรรมนูญให้เลวลงใน ๖ ประเด็นแล้ว

ไม่ใช่จุดยืน เป็นวิถีชีวิต

ไม่ง่ายเสียแล้วครับ... พรรคภูมิใจไทยประกาศจุดยืนสวนทางกับพรรคเพื่อไทยในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ นั่นหมายความว่าโอกาสที่พรรคเพื่อไทยจะบรรลุเป้าหมายต้องออกแรงเพิ่มอีกหลายเท่า

ชำระบัญชีแค้น

ว่องไวเชียว... วันที่ ๑ ตุลาคมนี้ รัฐบาลเขาจะสุมหัวแก้ไขรัฐธรรมนูญกันแล้วครับ "บิ๊กอ้วน-ภูมิธรรม" จะนั่งหัวโต๊ะ เรียกพรรคร่วมรัฐบาลมาถามว่าจะเอาไงใน ๒ ประเด็น

สภาฯ จะไปทั้งยวง

ระวังจะพังทั้งสภาฯ เรื่องแก้ไขรัฐธรรมนูญครับ เป็นที่ชัดเจนชนิดไม่แคร์ใคร พรรคเพื่อไทย เสนอ ร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติม ทั้งสิ้น ๖ ประเด็น ประกอบด้วย

ทักษิณ 'ริ' เพื่อไทย 'ยำ'

ไม่ใช่เรื่องบังเอิญครับ แต่มีการวางแผนมาอย่างแยบยล นับแต่ "ทักษิณ ชินวัตร" เดินทางกลับไทยจวบจนถึงวันนี้ จากนักโทษชาย จนได้รับใบบริสุทธิ์ แต่ไม่ยอมติดคุกแม้แต่วันเดียว ทุกอย่างยังเป็นไปตามแผน